บ้านตีทอง ข้างวัดสุทัศนเทพวราราม เป็นชุมชนลาวจากเวียงจันทน์และหลวงพระบาง อพยพมาแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นช่างตีทองคำเปลวสำหรับปิดพระพุทธรูป รวมทั้งใช้ในการตกแต่งงานศิลปกรรมต่าง ๆ
บ้านตีทอง ข้างวัดสุทัศนเทพวราราม เป็นชุมชนลาวจากเวียงจันทน์และหลวงพระบาง อพยพมาแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นช่างตีทองคำเปลวสำหรับปิดพระพุทธรูป รวมทั้งใช้ในการตกแต่งงานศิลปกรรมต่าง ๆ
ถนนตีทองนี้แต่เดิมเป็น "ชุมชนบ้านช่างทอง" คือบริเวณตั้งแต่สี่แยกคอกวัวถึงถนนตีทอง ในอดีตเป็นแหล่งผลิตทองคำเปลวซึ่งเป็นทองคำแผ่นบางๆ ที่ใช้ในการปิดเคารพสักการบูชาพระพุทธรูป หรือสิ่งเคารพตามความเชื่อถือ นอกจากนี้ทองคำเปลวยังใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในงานศิลปะและงานช่างฝีมือต่าง ๆ ซึ่งชุมชนบ้านตีทองหรือถนนตีทองนี้เคยเป็นแหล่งผลิตทองคำเปลวที่มีชื่อเสียงมาแต่ในอดีต
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ระบุว่า “ ย่านเป่าทองขายทองคำเปลว ทองนากเงิน มีตลาดขายของสดเช้าเย็น “ ซึ่งเชื่อกันว่า ทองคำเปลวรวมถึงอาชีพผลิต และค้าทองคำเปลวนั้น คงเกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างน้อยก็แต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ได้ปรากกฎชุมชนที่ผลิตและค้าทองคำเปลว บริเวณข้างวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร บริเวณถนนตีทองในปัจจุบัน ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เล่ากันว่าชุมชนแห่งนี้ เป็นย่านที่พวกช่างทองหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยร่วมกัน ต่อมาในปลายรัชกาลที่ 5 เมื่อราษฎรมีเสรีภาพในการทำทอง บรรดาช่างทองจึงได้พากันประกอบอาชีพช่างตีทองคำเปลวในย่านนี้เป็นแห่งแรก ซึ่งกลุ่มช่างทองหลวงจากในพระบรมมหาราชวังได้ออกมาตั้งชุมชนผลิตทองคำเปลว ขายให้แก่ชาวบ้านทั่วไปในบริเวณนี้ ถนนที่ตัดผ่านบริเวณนี้จึงถูกเรียกว่าถนนตีทอง
ปัจจุบัน “ บ้านตีทอง “ เหลือปรากฏเป็นเพียงชื่อถนนตีทอง ไม่มีกิจกรรมใดเกี่ยวกับทองคำเปลวเหลืออยู่ แต่อาชีพการผลิตและค้าทองคำเปลวยังคงหลงเหลืออยู่ในย่านแถบอื่นที่เกิดขึ้นร่วมสมัยหรือในยุคหลังต่อมา เช่น บริเวณหลังวัดบวร บ้านพานถม ถนนพระสุเมรุ ถนนตะนาว
"ถนนตีทอง" สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เล่ากันว่าชุมชนแห่งนี้ เป็นย่านที่พวก ช่างทองหลวง มาตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยร่วมกัน จนถึงช่วงปลายรัชสมัย มีการเปิดเสรีให้ราษฎรสามารถทำทองได้ ไม่จำกัดอยู่แต่ในราชสำนักเท่านั้น บรรดาช่างทองหลวงจึงได้พากันประกอบอาชีพเป็นช่างตีทองคำเปลวในย่านนี้เป็นแห่งแรก ถนนที่ตัดผ่านบริเวณนี้จึงถูกเรียกว่า ถนนตีทอง (แต่เดิมเป็นชุมชนบ้านช่างทอง คือบริเวณตั้งแต่สี่แยกคอกวัวถึงถนนตีทอง)
เป็ยที่น่าเสียดายว่าปัจจุบัน "บ้านตีทอง" คงเหลือปรากฏเป็นเพียงชื่อถนนตีทองเท่านั้น ไม่มีกิจกรรมใดเกี่ยวกับการทำทองคำเปลวเหลืออยู่แล้ว แต่อาชีพการผลิตและค้าทองคำเปลวยังคงมีอยู่ในย่านอื่น ที่เกิดขึ้นมาในช่วงหลัง อาทิ บริเวณหลังวัดบวร บ้านพานถม ถนนพระสุเมรุ ถนนตะนาวเป็นต้น
กลุ่มชุมชนชาติพันธุ์ ที่ถูกอพยพเคลื่อนย้ายจากถิ่นฐานเดิมมา เพราะความขัดแย้งระหว่างบ้านเมืองในช่วงต้นกรุงฯ เมื่อเลือกผู้คนจำนวนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชำนาญ หรือมีฝีมือทางงานช่างต่าง ๆ อาทิ ช่างทอง ช่างเงิน ช่างไม้ ช่างเรือ ช่างก่อสร้าง ฯลฯ จึงให้ตั้งบ้านเรือนเป็นชุมชนอยู่ภายในกำแพงพระนคร อาทิ ชุมชนชาวมุสลิมจากปาตานี น่าจะเป็นผู้มีความรู้หรือมีฝีมือทางช่างทองต่าง ๆ ที่อาจเคยอยู่ในราชสำนักเป็นข้าหลวงมาแต่เดิม ถูกกวาดต้อนมาครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เข้าสังกัดที่อาสาจาม ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่แถบคลองมหานาคต่อคลองบางกะปิ และโรงไหมหลวงที่ใกล้กับวัดตองปุหรือวัดชนะสงครามฯ สืบต่อกันมาเป็นชุมชนมัสยิดจักรพงษ์ และกระจายกลายเป็นผู้คนในชุมชนมัสยิดตึกดินในปัจจุบัน
โดยช่างทองเชื้อสายมลายูนี้สร้างผลงานเครื่องทองแบบเก่าสำหรับราชสำนัก บางท่านเป็นขุนนางและทำงานให้กรมช่างสิบหมู่ และเป็นช่างทองของราชสำนักสยาม ซึ่งช่างทองเหล่านี้เป็นช่างแกะลายฝีมือดี
ถนนตีทอง กล่าวกันว่าถนนสายนี้ตัดผ่านย่านชุมชนที่มีอาชีพทำทองคำเปลวจึงเรียกว่า “ถนนตีทอง” และกลุ่มบ้านที่เคยตีทองคำเปลวอยู่ใน “ตรอกเฟื่องทอง” ที่อยู่ฟากตะวันตกของถนนตีทองติดกับคลองหลอดวัดราชบพิธที่มีเส้นทางเดินเชื่อมกับทั้งถนนตีทองและถนนราชบพิธ ในช่วงราว พ.ศ. 2440 เคยมีบ้านเรือนหลายหลังที่ตีทองทำทองคำเปลว แต่ปัจจุบันเลิกทำไปหมดแล้ว ดังนี้
- อำแดงเอี่ยม บุตรนายควร สังกัดทูลกรพหม่อทแก้วช่างทองคำเปลว เรือนฝากระดาน
- นายตงบุตรจีนติน ขึ้นพระยาสุรเสนา ช่างทองคำเปลวเรือนฝากระดาน
- นายนิล มหาดเล็ก บุตรนายสุก ขึ้นพระยาภาศกรวงษ ช่างทองคำเปลว เรือนฝากระดาน
- นายเนย บุตรนานอ่วม ขึ้นเจ้าคุณกรมท่า ช่างตัดทองคำเปลว เรือนฝาแตะ
- อำแดงซุ่น บุตเที่ยงขึ้นพระยารัตนโกษา ช่างทองคำเปลว เรือนฝากระดาน
ทว่ายังพบว่าบริเวณ ตรอกรังษี หรือที่เรียกว่า ตรอกวัดรังษี ในคราวเดียวกันนั้น มีบ้านที่ตีแผ่นทองคำเปลวอยู่หลายบ้าน ได้แก่
- นายพันบุตรราชศรีนาคาขึ้นจ่ายง ตีทองตำเปลวขายเรือนฝากระดาน
- นายทิม พระมลตรีนวร ขึ้นกรมมหาดไทย ตีทองคำเปลวขายเรือนฝากระดาน
- อำแดงพลับ ภรรยาพระครูประโรหิต ตีทองคำเปลวขาย เรือนฝากระดาน
- นายขาว บุตรนายเพง ขึ้นกรมหลวงจักรพรรดิพงษ์ ตีทองคำเปลวขาย เรือนฝากระดาน
- นายถม ซายันมหาดเล็ก ตีทองคำเปลวขาย เรือนฝากระดาน
- นายดิษ บุตรนายสน ขึ้นพระยาพลเทพ ตีทองคำเปลวขาย เรือนฝากระดาน
- นายเสม บุตรชาติโอสถขึ้นกรมหมอ ตีทองคำเปลวขาย เรือนฝากระดาน
- อำแดงเกิด บุตรราชจินดาหุ้มแพร ตีทองคำเปลวขาย เรือนฝากระดาน
- นายจรเป็นขุนจินดาพิรมลา ตีทองคำเปลวขายเรือนฝากระดาน
จะเห็นว่าบ้านที่ตีทองคำเปลวขายทางตรอกวัดรังษีมีเป็นจำนวนมากกว่าทางแถบถนนตีทองและทำกันเกือบทุกหลังคาเรือนทีเดียว แต่ไม่ใช่หนึ่งงานช่างหลวงแต่อย่างใด
ปัจจุบัน “ บ้านตีทอง “ เหลือปรากฏเป็นเพียงชื่อ ถนนตีทอง ไม่มีกิจกรรมใดเกี่ยวกับทองคำเปลวเหลืออยู่ แต่อาชีพการผลิตและค้าทองคำเปลวยังคงหลงเหลืออยู่ในย่านแถบอื่นที่เกิดขึ้นร่วมสมัยหรือในยุคหลังต่อมา เช่น บริเวณหลังวัดบวร บ้านพานถม ถนนพระสุเมรุ ถนนตะนาว ทว่าสิ่งที่ยังหลงเหลือให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน คือ ตึกแถว หรือสถาปัตยกรรมที่ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ของย่านบ้านตีทอง บริเวณถนนตีทอง
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
อาคารเป็น ตึกแถว ก่ออิฐถือปูนสูง 2 ชั้น ตั้งอยู่ด้านข้างวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร อาคารแต่ละคูหากว้างประมาณ 3.00 เมตร สูง 10.00 เมตร หลังคาทรงปั้นหยา มุงกระเบื้องว่าว ผนังก่ออิฐฉาบปูนเรียบ หน้าต่างเป็นบานแฝดไม้ลูกฟักกระดานดุน ด้านบนของหน้าต่างมีกันสาดยื่นออกมามุงด้วยสังกะสีและมีลายฉลุไม้โดยรอบ ส่วนบนของผนังมีลวดลายบัวหงายเป็นแนวยาวตลอดช่วงอาคารขึ้นไปรับชายหลังคา มีการประดับผนังด้วยแนวเสายื่นออกมาจากผนังมีการเซาะร่องตามแนวนอน
รูปแบบอาคารตึกแถวถนนตีทอง มีลักษณะที่แตกต่างจากอาคารตึกแถวในบริเวณใกล้เคียง คืออาคารตึกแถวถนนตีทองนี้จะมีลักษณะอาคารที่เรียบง่าย มีการประดับตกแต่งลวดลายน้อย ไม่มีการปั้นปูนประดับตกแต่งอาคารตามสถาปัตยกรรมตะวันตกเหมือนอาคารตึกแถวอื่น ๆ ที่สร้างในยุคสมัยเดียวกัน สภาพอาคารปัจจุบันในชั้นล่างได้มีการปรับเปลี่ยนการใช้งานไปมากทั้งประตูอาคารในชั้นล่างและการติดป้ายโฆษณาร้านค้าต่าง ๆ
จากการศึกษางานวิจัยเพื่อหาผลกระทบด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานศิลปหัตถกรรมโลหะที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกรุงรัตนโกสินทร์ กล่าวคือ ชุมชนบ้านตีทอง ผลิตทองคำเปลว มีผลการศึกษา พบว่าการชี้บ่งอันตรายและการประเมินความเสี่ยง มอก.18001 ก่อนและหลังใช้รูปแบบ อย่าง "ชุมชนบ้านตีทอง" มีขั้นตอนการตีทองใส่กุบ ก่อนใช้รูปแบบระดับความเสี่ยงสูง คิดเป็นร้อยละ 86.42 ของการประเมิน หลังจากใช้รูปแบบ พบว่าเป็นระดับความเสี่ยงยอมรับได้ คิดเป็นร้อยละ 64.19 ของการประเมิน
ถนนตีทอง เริ่มตั้งแต่ถนนเจริญกรุงถึงถนนบำรุงเมืองในเขตพระนคร กรุงเทพมหานคร สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถนนสายนี้ตัดผ่านย่านของชุมชนที่มีอาชีพทำทองคำเปลว จึงเรียกชื่อถนนนี้ว่า “ถนนตีทอง” ปัจจุบันนี้ถนนตีทองเป็นถนนยาว 525 เมตร ต้นถนนจดถนนบำรุงเมืองก่อนถึงลานเสาชิงช้า หัวมุมถนนด้านตะวันออกเป็นที่ตั้งของวัดสุทัศนเทพวราราม ด้านตะวันตกของถนนมีซอยซึ่งยังเหลือชื่อว่าเป็นแหล่งทำทองคือ ซอยเฟื่องทอง
ถนนอีกสายหนึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากถนนตีทอง มีชื่อว่า ถนนตะนาว เป็นถนนในเขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ถนนสายนี้เริ่มต้นจากถนนบำรุงเมืองที่สี่กั๊กเสาชิงช้า ตรงไปตัดข้ามถนนราชดำเนินกลางที่สี่แยกคอกวัว ไปจดแยกที่ถนนบวรนิเวศ ถนนสิบสามห้าง และถนนตานีบรรจบกัน เมื่อแรกสร้างถนนตะนาวเป็นส่วนหนึ่งของถนนเฟื่องนคร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2406 – 2407 ชื่อถนนสายนี้ตั้งตามชื่อบ้านตะนาวที่ถนนตัดผ่าน จึงเรียกกันว่า ถนนบ้านตะนาว หรือ ถนนตะนาวมีผู้สันนิษฐานถึงที่มาของชื่อถนนสายนี้ไว้ 2 ทาง ทางหนึ่งสันนิษฐานว่า บ้านตะนาว เป็นบริเวณที่พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯ ให้ชาวตะนาวศรีที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารตั้งถิ่นฐานในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นแต่อีกทางหนึ่งมีผู้สันนิษฐานว่า ถนนสายนี้คงตัดผ่านบริเวณที่ขายเครื่องหอมเนื่องจากคำว่า “ตะนาว” หมายถึง กระแจะเครื่องหอมชนิดหนึ่ง
ศูนย์ข้อมูลเกาะรัตนโกสินทร์. (ม.ป.ป.). ตึกแถวถนนตีทอง. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 23 พฤษภาคม 2566, จาก http://www.resource.lib.su.ac.th/rattanakosin/index.php/2014-10-27-08-52-05/2014-11-19-04-46-50/2015-10-15-03-53-04
อารยา ถิรมงคลจิต. (2557). ถนนตีทอง-ถนนตะนาว. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 25 พฤษภาคม 2566, จาก https://d.dailynews.co.th/article/284835/.
วิทยา เมฆขำ และคณะ. (2551). ผลกระทบด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานงานศิลปหัตถกรรมโลหะที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกรุงรัตนโกสินทร์. วารสารพัฒนบริหารศาสตร์, 48(1), 137-156.
วิทยา เมฆขำ และสมศักดิ์ มีนคร. (2550). ผลกระทบการถ่ายทอดเทคโนโลยี ภูมิปัญญาท้องถิ่นงานศิลปหัตถกรรมโลหะการผลิตแผ่นทองคำเปลว ชุมชนบ้านตีทอง แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร. (รายงานวิจัย). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา.
สยามเทศะ โดยมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์. (2565). ถนนตีทอง จากย่านตีทองคำเปลวจนถึงทำทองรูปพรรณ. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 25 พฤษภาคม 2566, จาก https://www.blockdit.com/posts/621bb0d1d3badefa5198c9bf.
จิราพร แซ่เตียว และจารุวรรณ ด้วงคำจันทร์. (2561). หัตถกรรมทองคำเปลวย่านวัดบวร..ศิริทองคำเปลว. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 25 พฤษภาคม 2566, จาก https://lek-prapai.org/home/view.php?id=5342.
วลัยลักษณ์ ทรงศิริ. (2561). "เมืองประวัติศาสตร์กรุงเทพฯ" และการเดินทางย้อนรอยการจัดการเมืองประวัติศาสตร์ (๒). (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 25 พฤษภาคม 2566, จาก https://lek-prapai.org/home/view.php?id=5370.
ช่างตีทอง อาชีพของคน ๆ ไทยที่หายไป. (2561). (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 18 มิถุนายน 2566, จาก https://www.aagold-th.com/article/193/.
อรุณอินสยาม. (2559). สร้างประวัติศาสตร์สังคมย่านเมืองเก่ากรุงเทพฯ. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 18 มิถุนายน 2566, จาก https://www.facebook.com/1583765708572164/posts/1758810421067691/.
กรมศิลปากร กองโบราณคดี. (2535). รายงานการสำรวจโบราณสถานในกรุงรัตนโกสินทร์ เล่มที่ 1. กรุงเทพฯ: บริษัทหิรัญพัฒน์จำกัด.