Advance search

บ้านช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของพระนครอยู่รอบภูเขาทอง หรือชุมชนรอบวัดสระเกศ ฝั่งคลองโอ่งอ่าง เป็นย่านชุมชนเก่าแก่ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการสร้างวัด เป็นแหล่งผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญแห่งหนึ่งของพระนคร ชุมชนช่างฝีมือในละแวกนี้ อย่าง ชุมชน "บ้านดอกไม้" แหล่งผลิตดอกไม้ไฟ พลุ ตะไล

ซอยบ้านดอกไม้ 1
บ้านบาตร
ป้อมปราบศัตรูพ่าย
กรุงเทพมหานคร
จุฬาลักษณ์ วงค์สวัสดิ์โสต
16 มิ.ย. 2023
ปวินนา เพ็ชรล้วน
10 ก.ค. 2023
จุฬาลักษณ์ วงค์สวัสดิ์โสต
16 มิ.ย. 2023
บ้านดอกไม้


บ้านช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของพระนครอยู่รอบภูเขาทอง หรือชุมชนรอบวัดสระเกศ ฝั่งคลองโอ่งอ่าง เป็นย่านชุมชนเก่าแก่ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการสร้างวัด เป็นแหล่งผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญแห่งหนึ่งของพระนคร ชุมชนช่างฝีมือในละแวกนี้ อย่าง ชุมชน "บ้านดอกไม้" แหล่งผลิตดอกไม้ไฟ พลุ ตะไล

ซอยบ้านดอกไม้ 1
บ้านบาตร
ป้อมปราบศัตรูพ่าย
กรุงเทพมหานคร
10100
13.7491956552295
100.506933359061
กรุงเทพมหานคร

จุดเริ่มต้นของการเกิดขึ้นของชุมชนแห่งช่างดอกไม้เพลิง

ในไทยมีการเล่นไฟในพิธีกรรมต่าง ๆ ปรากฏหลักฐานตั้งแต่สมัยสุโขทัย ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ความว่า "เมืองสุโขทัยนี้มีสีปากประตูหลวง เที่ยวย่อมคนเสียดกันเข้ามาดูท่านเผาเทียนท่านเล่นไฟ เมืองสุโขทัยนี้มีดั่งจักแตก"

ต่อมาในสมัยอยุธยา การจุดดอกไม้ไฟได้เข้ามามีบทบาทในฐานะเครื่องสักการบูชาทางศาสนาในพระราชพิธีหลวง ทั้งที่เป็นงานสมโภชในโอกาสอันเป็นมงคลและในงานพระเมรุมาศ ซึ่งปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับต่าง ๆ อาทิ งานพระเมรุมาศพระบรมศพสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 2225 ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงสยาม โดยดอกไม้เพลิงในสมัยนั้นน่าจะมีหลายประเภท แต่ที่นิยมคือ "ระทา" จุดมุ่งหมายของการเล่น เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เพราะถือกันว่าการจุดดอกไม้เพลิง เป็นการบูชาที่มีองค์ประกอบครบสมบูรณ์คือ มีแสงเป็นพุ่มดอกไม้แทนดอกไม้ มีควันแทนธูป และมีแสงแทนเทียน สิ่งที่จะได้นอกเหนือจากนี้ก็คือความเพลิดเพลินของคนดู และความยิ่งใหญ่ของงาน และในสมัยกรุงธนบุรี มีการจุดดอกไม้เพลิงในลักษณะเดียวกับช่วงกรุงศรีอยุธยา ทว่าเป็นการจุดดอกไม้เพลิงที่ลดน้อยลงมาก เนื่องจากบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามและภาวะเศรษฐกิจ จึงไม่เหมาะสมนักสำหรับการเล่นมหรสพ และการจัดงานพระเมรุมาศตามแบบประเพณีในสมัยกรุงศรีอยุธยา 

จนกระทั่งในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น การทำดอกไม้เพลิงและการเล่นดอกไม้เพลิงในพระราชพิธีต่างได้รับการรักษาไว้ โดยรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ กำหนดให้ชาวบ้านที่มีอาชีพทำดอกไม้ไฟออกมาตั้งหลักแหล่งบ้านเรือนรวมกันออกนอกเขตพระนครบริเวณริมคลองโอ่งอ่างด้านหลังวัดสระเกศ จัดตั้งเป็น "บ้านดอกไม้" เพื่อสืบทอดการทำดอกไม้เพลิง และป้องกันการเกิดอัคคีภัยไปในขณะเดียวกัน

ครั้นถึงรัชกาลที่ 2 การจุดดอกไม้ไฟกลายเป็นของที่จำเป็นและขาดไม่ได้ในงานพิธีต่าง ๆ ดังจะเห็นได้จากบันทึกเกี่ยวกับการจุดดอกไม้เพลิงทั้งหลักฐานจากพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 2 และในช่วงรัชสมัยรัชกาลต่อ ๆ มาได้มีการเล่นดอกไม้เพลิงกันในพิธีต่าง ๆ เรื่อยมา เมื่อเข้าสู่ช่วงหลังจากสมัยรัชกาลที่ 5 การจุดดอกไม้ไฟในพระราชพิธีต่าง ๆ ได้สิ้นสุดลง เนื่องจากความจำเป็นของบ้านเมืองที่เจริญขึ้นพื้นที่ต่าง ๆ คับแคบลงไม่มีที่โล่งพอที่จะทำการจุดดอกไม้เพลิงได้อย่างปลอดภัย และเมื่อเข้าสู่รัชกาลที่ 6 จึงมีพระราชดำริที่จะงดการเล่นดอกไม้ไฟในพระราชพิธีดังปรากฏในระเบียบวาระ เรื่องการทำพระเมรุถวายพระเพลิงพระบรมศพ ให้เลิกการฉลองต่าง ๆ คือ ดอกไม้เพลิงและการมหรสพต่าง ๆ และไม่ต้องมีการตั้งโรงครัวเลี้ยง บทบาทของการเล่นดอกไม้ไฟในพระราชพิธีก็เป็นอันสิ้นสุดลง

ท้ายที่สุด บ้านดอกไม้สมัยก่อน มีบ้านเรือนรวมกันอยู่ประมาณ 20-30 บ้านแล้วจึงค่อย ๆ ลดน้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อการเล่นดอกไม้เพลิงเริ่มไม่เป็นที่นิยม ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเป็นต้นมา เนื่องจากเหตุผลทางด้านความปลอดภัย เพราะเขตของเมืองเริ่มขยายออกมาเรื่อย ๆ จึงไม่เป็นการปลอดภัย ทั้งการตั้งร้านผลิตดอกไม้เพลิง ถึงการเล่นดอกไม้เพลิงในเมืองที่มีบ้านเรือนหนาแน่น ทำให้หลายครอบครัวเริ่มย้ายออกไปเรื่อย ๆ จนในปี พ.ศ. 2528 เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ขึ้นที่บ้านดอกไม้ ทำให้ประชากรบ้านดอกไม้ที่มีอาชีพทำดอกไม้เพลิงเหลืออยู่น้อยราย และในปัจจุบันชุมชนบ้านดอกไม้ไม่มีการสานต่ออาชีพและองค์ความรู้ในการทำดอกไม้เพลิง หรือพลุไทยโบราณอยู่ เนื่องจากคนส่วนมากที่เคยทำอาชีพเดียวกันได้ย้ายถิ่นฐานออกไป และประกอบอาชีพอื่น ๆ ทำให้องค์ความรู้เริ่มหายไป แต่ในชุมชนยังคงมีผู้ที่เคยประกอบอาชีพการทำดอกไม้ไฟอยู่ และเป็นผู้ให้ข้อมูลในการจัดการองค์ความรู้เกี่ยวกับดอกไม้เพลิงที่สำคัญ

บ้านดอกไม้ ชุมชนที่มีย่านทำดอกไม้เพลิงแบบโบราณคือ "หมู่บ้านดอกไม้" อยู่ติดกับบ้านบาตรที่อยู่ทางด้านทิศเหนือตั้งอยู่ติดกับ "คลองบ้านบาตร" เป็นแพรกที่แยกออกมาจากคลองโอ่งอ่าง อีกฝั่งหนึ่งติดกับเมรุและป่าช้าวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ด้านหนึ่งติดกับถนนบริพัตร และต่อเนื่องกับวังบ้านดอกไม้ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน

โดย "บ้านดอกไม้" เป็นหมู่บ้านผลิตและขายดอกไม้ไฟ อยู่ไม่ไกลจากเมรุหลวงวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร มีช่างดอกไม้ไฟที่มักจะใช้ในงานพระบรมศพหรืองานเมรุที่มีมาแต่ครั้งต้นกรุงฯ แล้ว เป็นการประดิษฐ์ดอกไม้เพลิงแบบโบราณ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับทางถนนวรจักรและถนนหลวง อีกทั้งยังมีบ้านที่ทำดอกไม้ไฟแบบเก่าสืบต่อมาอยู่บ้างที่ชุมชนนี้จนถึงปัจจุบัน

จากการศึกษาภาพรวมของประชากรในชุมชนบ้านดอกไม้ ผ่าน "เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย" ถูกจัดเป็นสองประเภท ดังนี้

  1. ผู้ตั้งถิ่นฐานเดิม ได้แก่ ชาวจีนและชาวไทย อาศัยอยู่บริเวณแขวงป้อมปราบ วัดเทพศิรินทร์ บ้านบาตร และวัดโสมนัส โดย "ชุมชนบ้านดอกไม้" ตั้งอยู่ในแขวงบ้านบาตร
  2. ผู้ตั้งถิ่นฐานเดิม ได้แก่ ชาวมุสลิม ซึ่งอาศัยอยู่ริมคลองแสนแสบ ในสุเหร่ามหานาค แขวงคลองมหานาค

โดย แขวงบ้านบาตร มีจำนวนประชากร ชาย 3,084 คน หญิง 3,031 คน รวม 6,115 คน เป็นข้อมูลอัปเดต ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ชุมชนบ้านดอกไม้ เป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ในละแวกรอบกรุงเทพฯ ที่มีบ้านช่างตั้งอยู่มากมาย อาทิ บ้านหล่อ บ้านบุ บ้านบาตร เป็นต้น ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของบ้านเมืองแบบเก่าที่มีราชสำนักเป็นศูนย์กลาง มีวัดเป็นศูนย์กลางของชุมชนย่อย ๆ มีกลุ่มบ้าน หรือหมู่บ้านผู้เชี่ยวชาญงานช่างและการผลิตเฉพาะรูปแบบ มีตลาดทั้งตลาดบกและตลาดน้ำ ส่วนหมู่บ้านทำเกษตรกรรมอยู่นอกเมืองออกไป เป็นผลให้เกิดชุมชนที่เป็นย่านทำดอกไม้เพลิงแบบโบราณ อย่าง ชุมชนบ้านดอกไม้ ทว่าชุมชนนั้นตั้งอยู่ริมคลองโอ่งอ่างฝั่งนอกพระนคร เมื่อมีไฟไหม้ชุมชนเป็นผลให้ย้ายออกไปจนเกือบหมดจนเหลือเพียงลูกหลาน “นายต่วน” ทำดอกไม้ไฟอยู่เพียงเจ้าเดียวในปัจจุบัน
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ดอกไม้เพลิง

กองกูร ชมเสาร์หัศ บุตรชายนายต่วน ชมเสาร์หัศ ปัจจุบันอายุ 85 ปี เล่าว่า เกิดที่บ้านดอกไม้ ซึ่งเป็นหมู่บ้านริมคลองโอ่งอ่าง หรือคลองเมือง ใกล้กับบ้านบาตรและเมรุปูนวัดสระเกศฯ เอกสารของกรมไปรษณีย์ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังเป็นหมู่บ้านที่ทั้งผลิตและขายดอกไม้ไฟ บางท่าน เช่น นายน้อยรับราชการเป็น “ขุนท่อง เจ้ากรมช่างดอกไม้เพลิง” ซึ่ง พลุนายต่วน เคยผลิตที่บ้าน สิ่งของที่ใช้ทำพลุ เช่น ดินประสิวนั้นเป็นสินค้าจาก จีน เยอรมัน ฯลฯ เป็นการรับมาจากท่าน้ำราชวงศ์ ส่วนสารเคมีที่ทำให้เกิดสีสันต่าง ๆ ซื้อจากร้านขายยาที่ได้รับอนุญาต ทว่าภายหลังรัฐบาลห้ามไม่ให้ขายดอกไม้ไฟ แต่บริเวณภูเขาทองไปจนถึงป้อมมหากาฬ ยังคงฝ่าฝืน และไปรับจากที่อื่นมาขายกันอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากไม่ได้รับการกวดขันดูแลที่ดี

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่

ในปี พ.ศ. 2528 เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ขึ้นที่ "บ้านดอกไม้" ทำให้ประชาชนบ้านดอกไม้ที่มีอาชีพทำดอกไม้เพลิง เหลืออยู่เพียง 6-10 บ้าน และมีร้านดั้งเดิมเหลืออยู่เพียง 2 ร้านคือ ร้านนายต่วน และร้านจ.ปานจินดา (ปัจจุบันดูแลกิจการโดยคุณบรรยง) และเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ขายเพียงอย่างเดียว

ดอกไม้เพลิงที่ขายส่วนมาก เป็นดอกไม้เพลิงวิทยาศาสตร์ที่ผลิตจากประเทศจีน ขายควบคู่ไปกับการขายไม้กลึง เพราะการยึดอาชีพขายดอกไม้เพลิงเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเลี้ยงชีพได้ เนื่องจากใน 1 ปี จะมีการจุดดอกไม้เพลิงเพียง 2 ครั้งเท่านั้น คือเทศกาลลอยกระทง กับเทศกาลปีใหม่ ทว่าลูกหลานบ้านดอกไม้เหล่านี้ยังคงยึดมั่นตามรอยวิชาชีพของบรรพบุรุษบ้านดอกไม้ โดยการหาดอกไม้เพลิงของไทยมาขาย ซึ่งต้องออกไปซื้อตามต่างจังหวัด อาทิ สมุทรปราการ สระบุรี อยุธยา ราชบุรี สุพรรณบุรี นครปฐมฉะเชิงเทรา ชลบุรี เป็นต้น

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ดอกไม้เพลิง. (ม.ป.ป.). (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 19 มิถุนายน 2566, จาก https://www.navanurak.in.th/

ชุมชนบ้านดอกไม้. [วีดิทัศน์]. (2559, 21 พฤศจิกายน). ม.ป.ท. : ม.ป.พ.

สำนักงานเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย. (2564). ข้อมูลทั่วไปของเขต. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 19 มิถุนายน 2566, จาก https://webportal.bangkok.go.th/pomprapsattruphai/

มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์. (2563). บ้านบาตร ย่านหัตถกรรมและสำนักดนตรีไทย (๓) บ้านดอกไม้. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ 19 มิถุนายน 2566, จาก https://www.facebook.com/Vlekprapaifoundation/photos/

เตชวัน ปัญญาวุฒิธรรม. (2566). “ชุมชนบ้านดอกไม้” ชุมชนที่มีชื่อว่าดอกไม้แต่ไม่มีดอกไม้ให้เชยชม. จาก https://www.museumsiam.org/