
หมู่บ้านสบลานมีถิ่นฐานอยู่ในบริเวณป่าต้นน้ำ ซึ่งยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้และทรัพยากรแหล่งน้ำ
ต้นกำเนิดของชื่อหมู่บ้านนี้เกิดจากหมู่บ้านตั้งอยู่บริเวณที่น้ำ แม่ลานคำและน้ำแม่ลานมาเจอกันก่อนที่จะลงไปเป็นน้ำแม่ขาน ทั้งสองเส้นแม่น้ำนี้มาเจอกันตรงช่วงต้นทางเข้าหมู่บ้าน ทำให้ได้ชื่อหมู่บ้านว่า "สบลาน" (สบ มาจากคำว่า เจอ, ลาน มาจาก น้ำแม่ลาน)
หมู่บ้านสบลานมีถิ่นฐานอยู่ในบริเวณป่าต้นน้ำ ซึ่งยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้และทรัพยากรแหล่งน้ำ
ชุมชนปกาเกอะญอบ้านสบลาน มีต้นตระกูลคือ พ่ออุ๊ยนะนู นะโน ได้แต่งงานกับภรรยาซึ่งย้ายถิ่นฐานมาจากที่อื่น ได้เดินทางหาพื้นที่ทำมาหากิน และได้เดินทางมาเจอช่องเขาตรงที่สร้างหมู่บ้านสบลานในปัจจุบัน ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2400 ชาวบ้านแถวนั้นมีชาติพันธุ์เป็นปกาเกอะญอ ใช้ชีวิตเรียบง่ายตามป่าตามลำห้วย เก็บของป่ามาทานเป็นอาหาร หรือจับปลาตามลำห้วย โดยไม่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ชาวบ้านมีชีวิตที่ผูกพันกับป่าไม้และลำห้วย จนมีคำพูดที่เป็นประโยคติดปากของคนในหมู่บ้านสบลานนี้ว่า “ป่าคือชีวิตและจิตใจ” อีกทั้งในหมู่บ้านนี้ยังมีป่าที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ป่าจิตวิญญาณ” ในช่วงการปกครองบ้านสบลานของนะนู ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชาวบ้านเนื่องจาก ชาวบ้านติดป่าติดเขาความสะดวกสบายจึงเข้าไม่ถึง จนช่วง พ.ศ. 2426 ฝรั่งได้เข้ามาทำสัมปทานป่าและตัดไม้มีค่าไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการนำช้างมาลากไม้จำนวนมากเช่นกัน ระหว่างช่วงสัมปทานป่าไม้ ช้างได้เข้าไปเหยียบพืชผักของชาวบ้าน จึงได้มีการเจรจากับฝรั่งผู้นำสัมปทานอยู่หลายครั้ง แต่คำตอบสุดท้ายที่ได้กลับมาคือการขู่ฆ่าชาวบ้านกลัวจนต้องย้ายจากที่อยู่อาศัยเดิมไปอยู่ที่หนองปลาระแวงใกล้ ๆ เพื่อหนีจากปัญหาที่เกิดจากการสัมปทานป่าไม้
เวลาผ่านไปประมาณ 20 ปี พ.ศ. 2446 ชาวบ้านได้ย้ายจากหนองปลากลับไปอยู่ที่เดิม เนื่องจากตรงบริเวณหนองปลาที่ชาวบ้านได้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่นั้น ปลูกพืชผักไม่ค่อยขึ้น ทำมาหากินไม่ได้เนื่องจาก เป็นที่ดินแห้ง จนกระทั่ง พ.ศ. 2484 พะตี่ตะแยะเกิดได้ไม่นานได้มีการยกเลิกสัมปทานฝรั่งเปิดสัมปทานป่าให้คนไทยทำแทน ทำให้ป่าเสื่อมโทรมมากขึ้นไปอีก พ.ศ. 2507 รัฐบาลได้ประกาศ พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติซึ่งไม่อนุญาตให้คนเข้าไปอาศัยอยู่ในบริเวณป่าอีกต่อไป ยกเว้นว่าอาศัยอยู่มาก่อนที่ พ.ร.บ.จะถูกประกาศ พ.ศ. 2515 รัฐบาลได้ประกาศยกเลิกสัมปทานป่าในไทย พ.ศ. 2516 บริเวณบ้านสบลานถูกประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติสะเมิง รัฐบาล ต้องการฟื้นฟูสภาพป่าที่ทรุดโทรมลงมากทั้งจากการสัมปทานป่าไม้และการทำไร่รัฐบาล พ.ศ. 2532 กรมชลประทานเริ่มวางแผนการสร้างเขื่อนแม่ขานเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง แต่เมื่อ พ.ศ. 2545 เขื่อนถูกระงับเพราะตรวจสอบพบว่าเขื่อนไม่คุ้มที่จะสร้าง ต่อมา พ.ศ. 2533 ชาวบ้านร่าง พ.ร.บ. ป่าชุมชนเพื่อเรียงร้องสิทธิในการอยู่อาศัยและใช้ประโยชน์จากป่า ชาวบ้านเคลื่อนไหวเรื่องที่ทำกิน พื้นที่ป่าอย่างจริงจัง รวมตัวกันสร้างเครือข่าย มีองค์กรสำคัญคือกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือลงไปเดิน ประท้วงในตัวเมืองเชียงใหม่ไม่ให้ประกาศอุทยานทับที่อยู่อาศัย พ.ศ. 2540 ชาวบ้านต้องเปลี่ยนนามสกุลเป็นนามสกุลไทยทั้งตระกูล พ.ศ. 2543 น้ำประปาเริ่มเข้าสู่หมู่บ้าน พ.ศ. 2544 ชาวบ้านเริ่มเลี้ยงผีน้ำเป็นครั้งแรก พ.ศ. 2557 ชาวบ้านกำลังยื่นเรื่องโฉนดชุมชนให้ คสช. พิจารณา พ.ศ. 2558 ชาวบ้านมีบ้านเลขที่แต่ไม่มีโฉนด พ.ศ. 2560 รัฐบาลได้ทำการเดินไฟฟ้าเข้ามาในหมู่บ้าน ในปัจจุบันชาวบ้านได้มี บ้านเลขที่เป็นของตัวเองแต่ละครอบครัว แต่ยังไม่มีโฉนดที่ดินของตัวเอง
อาณาเขตติดต่อ
- ทิศเหนือ ตั้งแต่หลักเขตที่ 1 ซึ่งตั้งอยู่ฟากตะวันตกของถนนไปตำบลสะเมิงเหนือ ตรงที่อยู่ห่างจากวัดกองขากหลวงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 500 เมตร หลักเขตที่ 1 เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ถึงถนนสายสะเมิง - แม่ริม ตรงหลักกิโลเมตรที่ 9.500 ซึ่งเป็นหลักเขตที่ 2
- ทิศตะวันออก จากหลักเขตที่ 2 ตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ถึงฝั่งตะวันตกของห้วยหมื่นตรงที่อยู่ห่างจากปากน้ำแม่ลานคำตอนที่จบกับห้วยหมื่น
- ทิศใต้ จากหลักเขตที่ 3 เลียบตามฝั่งตะวันตกของห้วยหมื่น และฝั่งของน้ำแม่ขาน ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ถึงฝั่งใต้ของแม่น้ำแม่ขาน ตอนที่อยู่ห่างจากทางไปบ้านแม่สาบ ตรงที่บรรจบกับแม่น้ำแม่ขาน ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นระยะ 400 เมตร
- ทิศตะวันตก จากหลักเขตที่ 4 เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือถึงฝั่งเหนือของห้วยยาว ตอนที่ตัดกับถนนไปบ้านแม่สาบ ตรงที่บรรจุกับห้วยยาว ซึ่งเป็นหลักเขตที่ 5 จากเขตที่ 5 เป็นเส้นตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือจนบรรจบกับหลักเขตที่ 1
ลักษณะการตั้งถิ่นฐาน
หมู่บ้านจะตั้งอยู่บนเนินเขาใกล้แหล่งน้ำ แหล่งน้ำธรรมชาติ สำคัญในพื้นที่ คือ น้ำแม่ลาน ซึ่งเกิดจากป่าต้นน้ำบนเขาของแต่ละหมู่บ้านไหลเป็นลำธารทางน้ำรวมกันไหลลงสู่น้ำแม่ลานและน้ำแม่ลาซึ่งหล่อเลี้ยงหมู่บ้านต่าง ๆ ได้แก่ บ้านป่าคานอก ป่าคาใน ห้วย หญ้าไซ บ้านใหม่แม่ลานคำ และไหลไปบรรจบกับน้ำแม่ขานที่มีต้นน้ำมาจากขุนขานในเขตอุทยานแห่งชาติออบขาน
จากลักษณะภูมิประเทศที่เป็นพื้นที่ป่าเขาสลับซับซ้อน หมู่บ้านต่าง ๆ จะตั้งอยู่บนดอย สันดอย และลาดไหล่เขา เริ่มจากบ้านใหม่แม่ลาคำที่ความสูงประมาณ 600-700 เมตรเหนือ ระดับน้ำทะเลปานกลาง และไต่ระดับต่อเนื่องไปทางทิศตะวันตก ที่ความสูงประมาณ 700-800 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ได้แก่ บ้านห้วยหญ้าไซ บ้านป่าคานอก บ้านป่าคาใน ตามลำดับ พื้นที่จะลาดชันขึ้นไปยังยอดดอยทางด้านทิศตะวันตกไปจนถึงระดับ 1,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง เช่นเดียวกับทางด้านทิศใต้ ได้แก่ หมู่บ้านห้วยเหี้ยะ และบ้านแม่ลาคำใน
ส่วนบ้านสบลานนั้นมีลำน้ำย่อยไหลลงสู่น้ำแม่ลานโดยไหลผ่านทางตอนเหนือของหมู่บ้านและไปบรรจบกันน้ำแม่ขานทางด้านทิศ ตะวันออก (บ้านสบลาน) เส้นทางหลักเข้าสู่พื้นที่ศึกษา คือ หมายเลข 1269 จากเชียงใหม่ถึงอำเภอสะเมิง แล้วใช้เส้นทางชนบทผ่านที่ทำการพิทักษ์อุทยานแห่งชาติออบชาติที่ 1 จากที่ทำการฯ ราว 1.7 เลี้ยวขวาข้ามลำน้ำแม่ ขานเริ่มจากสะพานข้ามน้ำแม่ขานวิ่งไปทางทิศตะวันตกมาถึงทางแยกเข้าบ้านใหม่แม่ลานคำ ระยะทาง 1.6 หากใช้ทางแยกวิ่งลงทิศใต้จะไปสู่บ้านสบลาน ระยะทาง 4.2 กิโลเมตร
หากใช้บ้านใหม่แม่ลานคำเป็นที่ตั้งหลัก จะประกอบด้วย 2 เส้นทาง คือ เส้นทางลงใต้ไปยังบ้าน ห้วยเหี้ยะ ระยะทาง 2.8 กิโลเมตร วิ่งต่อไปอีก 2.1 กิโลเมตร จะถึงบ้านแม่ลาคำใน อีกเส้นทาง คือ เส้นทางไปทางทิศตะวันตก ซึ่งหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดคือ บ้านห้วยหญ้าไซ ระยะทาง1.8 กิโลเมตร ก่อนถึง ทางเข้าสู่บ้านห้วยหญ้าไซจะพบทางแยก หากใช้เส้นทางซ้ายวิ่งต่อเนื่องไปทางทิศตะวันตก ระยะทาง 4.2 กิโลเมตร ถึงบ้านป่าคานอก และหากวิ่งต่อเนื่องขึ้นไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือระยะทาง 1.7 กิโลเมตร จะถึงบ้านป่าคาใน จากบ้านป่าคาในวิ่งไปหมู่บ้านสุดท้าย คือ บ้านอมก๋น ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะทาง 4.1 กิโลเมตร ในทางกลับกันหากใช้เส้นทางจากทางแยกก่อนถึงบ้านห้วยหญ้าไซวิ่งทางขวาระยะทาง 4 กิโลเมตร จะถึงหมู่บ้านเช่นกัน
การตั้งบ้านเรือน
บ้านเรือนโดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่สองข้างทางของถนนเส้นหลักที่ผ่านกลางหมู่บ้าน จากหัวบ้านไปสู่ท้ายบ้าน มีทางแยกเป็นเส้นรองออกจากทางหลัก เส้นทางหลักของหมู่บ้านมักก่อสร้างเป็นคอนกรีต หมู่บ้านที่มีขนาดใหญ่มักมีพื้นที่ส่วนรวมและก่อสร้างเป็นอาคารต่าง ๆ เช่น โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก วัด โบสถ์นอกจากนี้ยังมีร้านขายของชำ พื้นที่โดยรอบของแต่ละหมู่บ้านเป็นพื้นที่ทำกิน ได้แก่ พื้นที่นา ไร่ สวน ซึ่งเป็นของกลุ่มผู้คนที่ตั้งรกรากแต่แรกเริ่ม ส่วนรอบนอกออกไปเป็นส่วนขยายของการใช้พื้นที่ทำกินซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของหมู่บ้าน กล่าวคือ ครอบครัวที่แยกออกจากบ้านหลักต้องไปหักร้างถางพงทำพื้นที่ทำกินของตนเอง ทำให้เกิดการขยายตัวของพื้นที่ทำกิน เช่น ไร่เลื่อนลอยหรือนาข้าวของหมู่บ้านบ้านหนึ่งอาจมีอาณาเขต ไปเกือบถึงอีกหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง ลักษณะบ้านที่พบเห็นในปัจจุบัน เป็นบ้านแบบใหม่และแบบประยุกต์ ส่วนบ้านแบบดั้งเดิม (แบบประเพณี) หลงเหลือให้เห็นน้อยมาก กล่าวคือ เป็นเรือนไม้ยกพื้นเล็กน้อยมีบันไดขึ้นเรือนจากพื้นดิน สร้างจากไม้ไผ่ มุงหลังคาด้วยไม้ไผ่และใบหญ้าคา ผนังเป็นฟากไม้ไผ่ที่ถูกตีเป็นแผ่น มีชานเรือน ด้านหน้าและประตูเข้าสู่ตัวเรือนด้านในซึ่งเป็นห้องเดี่ยวใช้งานทุกหน้าที่โดยมีเตาไฟอยู่ภายในเพื่อใช้ในการประกอบอาหารและให้ความอบอุ่น แยกห้องส้วมออกจากบ้าน จากการลงพื้นที่บ้านแม่ลานคำใน ยังคงมีบ้านแบบดั้งเดิมลักษณะเดียวกันกับที่กล่าวมาข้างต้น แต่มีข้อพิเศษ คือ หลังคามุงด้วยใบก้อหรือใบหวาย
บ้านสบลาน มีบ้านเรือนทั้งหมด 28 หลังคาเรือน และประชากรทั้งหมดเป็นชาวปกาเกอะญอ 120 คน แต่เดิมชาวบ้านสบลานมีตระกูลของนะนูมีเพียงนามสกุลเดียวคือ นะโน ในช่วงของพะตี่ตาแยะภายหลังจากที่ ชาวบ้านเริ่มมีบ้านมากขึ้นจึงไปขอเลขที่บ้านจากอำเภอ แต่นายอำเภอแนะนำให้เปลี่ยนนามสกุล เนื่องจากอ่านยาก จึงเสนอนามสกุลภาษาไทยให้เลือก ในบ้านสบลานจึงมีตระกูล 4 นามสกุลหลักคือ ยอดฉัตรมิ่งบุญ พิชิตสิงขร บำเพ็ญจิตรบวร และสบลานสวัสดิ์
ปกาเกอะญอชาวปกาเกอะญอ ในพื้นที่สะเมิงใต้นั้นมีความผูกพันกับธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุที่ธรรมชาติแวดล้อมเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยในพื้นที่ซึ่งเป็นป่า (พ่อ) และ ต้นน้ำลำธาร (แม่) ตลอดจน สัตว์และทรัพยากรอื่น ๆ โดยเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีเจ้าของ คือ ผี และกลุ่มชนนี้ได้ปรับตัวและพฤติกรรมให้เข้ากับธรรมชาติได้เป็นอย่างดีจนเกิดเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดและถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลัง กลายเป็นวิถีชีวิต ขนมธรรมเนียม แบบแผนที่ต้องปฏิบัติ หรือที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นปฏิทินของชุมชน
เนื่องด้วยวิถีชีวิตของปกาเกอะญอในอดีตผูกพันอย่างมากกับการทำไร่ ดังนั้นปฏิทินชุมชน หลักๆ จะเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่จะต้องใช้พื้นที่ไร่โดยสามารถแบ่งการใช้พื้นที่ไร่ได้ 3 ช่วงใหญ่ ๆ ได้แก่
- ช่วงการเตรียมไร่สำหรับปลูกข้าว ตั้งแต่ กุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม กิจกรรมสำคัญ ได้แก่ การ ถางไร่ เผาไร่ ดูแลไฟป่า
- ช่วงของการดูแลข้าว ตั้งแต่ มิถุนายน ถึง ตุลาคม กิจกรรมสำคัญ ได้แก่ การเลี้ยงผีไฟ
- ช่วงของการเก็บเกี่ยวและฤดูเฉลิมฉลอง ตั้งแต่ พฤศจิกายน ถึง มกราคม โดยในแต่ละช่วงจะมีพิธีกรรมเลี้ยงผีและไหว้ผีตลอดจนการเส้นสังเวยแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
เดือน | วิถีชีวิต | พิธีกรรม/ความเชื่อ |
มกราคม | สำรวจพื้นที่ทำไร่หมุนเวียน, รับจ้างทั่วไป, ทอผ้า, เลี้ยงสัตว์, งานหัตถกรรม, ค้าขาย, เลี้ยงสัตว์, ปลูกฟักข้าว มะเขือพวงในไร่ | ฉลองกินข้าวใหม่, ห้ามแต่งงานและสร้างบ้านในช่วงนี้, พิธีมัดมือสู่วัญ, หิงไฟพระเจ้า, ตานข้าวใหม่, วันหยุดสำคัญของศาสนาคริสต์ |
กุมภาพันธ์ | สำรวจไร่หมุนเวียน, ต้มสุรา, เริ่มถางเตรียมพื้นที่ทำไร่ ทำนา, ทำแนวกันไฟ | ผูกข้อมือ, ขึ้นปีใหม่ |
มีนาคม | เผาไร่, เลี้ยงวัว ควาย, ทำแนวกันไฟ, ล้อมรั้ว, ถางป่าเตรียมทำไร่ เตรียมพื้นที่เกษตร, กำหนดเขตพื้นที่ | เลี้ยงผีป่าผีนา |
เมษายน | ทำแนวกันไฟ, ปลูกพืชไร่, หาพืชในป่า, เผาไร่, ปลูกกล้วย ข้าวดอย เผือก มัน ข้าวสาลี ข้าวโพด | รดน้ำดำหัว, สงกรานต์, พิธีหยอดข้าวเจ็ดหลุม, พิธีเลี้ยงผีฝาย |
พฤษภาคม | หยอดข้าวไร่, ทำรั้วไร่หมุนเวียน, เพาะกล้าพันธุ์ไม้, หว่านข้าวในไร่, เก็บของป่า, ล่าสัตว์ | ไหว้ขวัญข้าว, หยอดข้าวไร่เจ็ดหลุม (แม่ข้าว), เลี้ยงผีต้นน้ำ |
มิถุนายน | ดูไร่นากำจัดวัชพืช, ปลอกมีด, เครื่องจักสานไม้ไผ่ ทอผ้า, หาพืชในป่า, ปลูกข้าวโพด, หยอดข้าวไร่, ทำแนวกันไฟ, ดำนา | เลี้ยงผีไฟ, เลี้ยงผีนา,หยอดข้าวไร่เจ็ดหลุม |
กรกฎาคม | ดูไร่นา, ปลอกมีด, เครื่องจักสานไม้ไผ่และทอผ้า, หาพืชในป่า, ปลูกข้าวในนาปี | พิธีตาแสะ ขับไล่สิ่งชั่วร้าย (ในบ้าน), พิธีตาเดอเมาะ (ในสวน), เลี้ยงผีฝายน้ำและนา, เข้าพรรษา |
สิงหาคม | ดูไร่นา, ปลอกมีด, เครื่องจักสานไม้ไผ่และทอผ้า, กำจัดวัชพืช, ดักสัตว์ป่า, เก็บของป่า | เลี้ยงผีฝาย, เชื่อว่าข้าวตั้งท้องไม่ควรเข้าไปในแปลง, เลี้ยงผีไฟ, เลี้ยงผีตาแซะ |
กันยายน | ดูไร่นา, ปลอกมีด, เครื่องจักสานไม้ไผ่และทอผ้า, เก็บของป่า, ขุดหน่อไม้ | เชื่อว่าข้าวตั้งท้องไม่ควรเข้าไปในแปลง, เลี้ยงผีฝาย, ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย |
ตุลาคม | เริ่มเก็บเกี่ยวข้าวไร่ ข้าวโพด, ล่าสัตว์, ทอผ้า | พิธีมัดมือในไร่, พิธีเรียกขวัญข้าว, สลากภัตร, ทอดผ้าป่ากฐิน, ทำบุญออกพรรษา |
พฤศจิกายน | เกี่ยวข้าว, ตีข้าว, เริ่มเก็บเกี่ยวข้าวไร่ ข้าวนาปี | เลี้ยงผีข้าว,พิธีมัดมือในไร่, พิธีเรียกขวัญข้าว, ตัดไม้หน่อดูขั้ว |
ธันวาคม | เก็บเกี่ยวข้าวนาปี ข้าวไร่, ลงแขก | ฉลองปีใหม่, เลี้ยงผีต่าง ๆ, ห้ามแต่งงานและสรเางบ้านในช่วงนี้, พิธีกรรมเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง, ตานข้าวใหม่และกินข้าวใหม่, ตั้งศาลในไร่, วันหยุดสำคัญของศาสนาคริสต์ |
บ้านสบลาน จัดเป็นชุมชนปกาเกอะญอขนาดเล็ก นับถือศาสนาพุทธ ใช้ชีวิตกลมกลืนกับธรรมชาติ และผสมผสานความรู้อันเป็นภูมิปัญญาเดิมกับความรู้ใหม่ เกิดเป็นนวัตกรรมเพื่ออยู่ร่วมกับป่า อันเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติควบคู่ไปกับการจัดการความรู้ไปสู่การสร้างเครือข่าย และการพัฒนาคนรุ่นใหม่ในชุมชนให้เป็นนักคิดเพื่อพร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม เริ่มจากผลกระทบของการทำสัมปทานป่าสองยุคและนโยบายย้ายคนออกจากป่า รวมถึงโครงการเขื่อนแม่ขาน จึงรวมตัวกับชาวบ้านใกล้เคียงเป็น “เครือข่ายลุ่มน้ำขาน” เคลื่อนไหวกับเครือข่ายเกษตรกรภาคเหนือ (คกน.) เรื่อง พ.ร.บ.ป่าชุมชน โดยมีการทำกฎกติกาขึ้นกันเองภายในชุมชนเพื่อใช้ประโยชน์ที่ดิน การจัดโซนพื้นที่รักษาระบบการทำไร่หมุนเวียนแบบดั้งเดิม เว้นระยะเพื่อพักฟื้นดิน บ่มเพาะความหลากหลายทางชีวภาพให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยได้อยู่กิน นอกจากนี้ภายหลังเกิดเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศเมื่อปี 2554 รัฐบาลได้มีรื้อฟื้นโครงการเขื่อนแม่ขานอีกครั้ง ชาวบ้านเกรงว่าจะเกิดน้ำท่วมถึงบริเวณที่ทำกินจึงเคลื่อนไหว จึงร่วมกับเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำภาคเหนือ (คปน.) เสนอแนวทางการจัดการน้ำแบบบูรณาการ และการจัดทำโฉนดชุมชนเพื่อแสดงสิทธิในการรักษาป่าและที่ทำกิน ทำให้ชุมชนขนาด 28 ครัวเรือนแห่งนี้ สามารถรักษาป่ากว่า 1 หมื่นไร่ ให้ยังคงสภาพสมบูรณ์
ในหมู่บ้านสบลานมีโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้นอกระบบและศูนย์เรียนรู้ชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวง การจัดการเรียนการสอนนอกระบบหรือ กศน. จะมีคุณครูที่เวียนเข้าไปสอนแต่ละหมู่บ้านเข้ามา สอนในหมู่บ้านสบลานซึ่งในการเข้ามาสอนจะไม่มีการนัดผู้เรียนไว้ล่วงหน้า พอมาถึงคุณครูจะไปตาม นักเรียนจากที่บ้านให้มาเรียนและถ้านักเรียนไม่ได้อยู่บ้านก็จะไม่ได้เรียนหนังสือ การตัดการเรียนการ สอนแบบนี้เป็นการสอนให้สอดคล้องกับระบบทางการศึกษา ถ้าโรงเรียนโจ๊ะมาโลลือหล่าไม่มีคุณครู อาสามาสอนนักเรียนก็จะไม่ได้เรียนหนังสือต้องอาศัยคุณครูจาก กศน. เข้ามาสอนในหมู่บ้าน
โรงเรียนโจ๊ะมาโลลือหล่า โรงเรียนเพื่อการเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรม (“โจ๊ะ”แปลว่า โรงเรียน “มาโล” แปลว่าเรียนรู้ “ลือหล่า” แปลว่าวิถีชีวิตและวัฒนธรรม) สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2553 เป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง มูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณ ชุมชนปกาเกอะญอ บ้านสบลาน สำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการและสถาบันอาศรมศิลป์ เพื่อสร้างการเข้าถึงสิทธิและโอกาสทางการศึกษาสำหรับเด็กและเยาวชนในชุมชนห่างไกล ต่างวัฒนธรรมในเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่เขต 2 โดยการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ขึ้นในชุมชนปกาเกอะญอ บ้านสบลาน อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้เด็กแล้วเยาวชนได้มีโอกาสทางการศึกษาโดยไม่แยกห่างจากหลักฐานวัฒนธรรมของตนอันมีวิถีการอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่มีคุณค่า สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในระยะยาวต่อไป
โรงเรียนโจ๊ะมาโลลือหล่าเป็นโรงเรียนทางเลือกที่มีการสอนชุดความรู้สามัญควบคู่ไปกับการสืบทอดวิถีชีวิตในแบบของชาวปกาเกอะญอ โดยมีจุดประสงค์ให้นักเรียนเห็นคุณค่าในภูมิปัญญาและเห็นคุณค่าในตนเอง รวมถึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาตนเอง โดยมีความเข้าใจทั้งในแนวคิดแบบปกาเกอะญอและเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคมภายนอก นอกจากนี้ยังฝึกให้นักเรียนเป็นคนที่เข้มแข็งที่ความคิดหรือคำพูดของคนอื่นไม่สามารถทำให้จุดยืนของพวกเขาสั่นคลอนได้ รวมทั้งฝึกให้เด็กสามารถทำงานเพื่อชุมชน เพื่อรักษาและดำรงวิถีชีวิตดั้งเดิมของพวกเขาให้อยู่ได้สืบต่อไป
ในปี พ.ศ. 2516 บริเวณบ้านสบลานถูกประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติสะเมิง เพราะรัฐบาลต้องการฟื้นฟูสภาพป่าที่ทรุดโทรมลงมากทั้งจากการสัมปทานป่าไม้และการทำไร่ หลังนั้นได้เกิดภัยแล้ง ทำให้น้ำตามห้วยต่าง ๆ ได้แห้งลง พ.ศ. 2532 กรมชลประทานเริ่มวางแผนการสร้างเขื่อนแม่ขานโดย ชี้แจงว่าได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านในอำเภอสันป่าตอง กว่า 5,000 รายชื่อให้แก้ปัญหาภัยแล้ง แต่ชาวบ้านสบลานไม่เห็นด้วยเนื่องจากจุดที่จะสร้างสันเขื่อนจะอยู่ห่างจากบ้านพะตี่ตาแยะ 23 กิโลเมตร เลาะขึ้นไปตามแม่น้ำแม่ขาน ตรงนั้นมีภูเขาสูงสองลูกและมีช่องว่าง เขาจะสร้างเขื่อนกั้นน้ำตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่ด้านล่างมีคนอยู่อาศัย อย่างห้วยโท้งมีคนอยู่ชิด มีสวนมีป่า แล้วผลกระทบมันมาถึงชาวสบลาน ทั้งที่นา ป่าเขา พื้นที่ทำไร่หมุนเวียน เลี้ยงสัตว์ ที่จับปลา ทรัพยากรต้นไม้ป่าไม้ที่ชาวบ้านดูแลมานานจะถูกน้ำท่วม ถึงไม่ท่วมตัวบ้านพะตีตาแยะแต่ท่วมที่ทำกินที่เลี้ยงสัตว์ทั้งหมดมันไม่คุ้ม
ต่อมา พ.ศ. 2533 ชาวบ้าน ร่าง พ.ร.บ. ป่าชุมชน เพื่อเรียกร้องสิทธิในการอยู่อาศัยและใช้ประโยชน์จากป่า ชาวบ้านเคลื่อนไหวเรื่องที่ทำกิน พื้นที่ป่าอย่างจริงจัง รวมตัวกันสร้างเครือข่าย มีองค์กรสำคัญ คือ กลุ่มเกษตรกรภาคเหนือลงไปเดินประท้วงในตัวเมืองเชียงใหม่ไม่ให้ประกาศอุทยานทับที่อยู่อาศัย สบลานเป็นชุมชนเล็ก ๆ ภาษาก็ไม่ค่อยเก่ง ใช้วิธีเดินรณรงค์ให้สังคมรู้ว่าเราไม่อยากได้เขื่อน เดินจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ไปแม่ทา เรียกร้องให้รัฐมนตรีมาเจรจา มีรัฐมนตรีเกษตรลงมาเจรจาบอกว่าจะตั้งกรรมการขึ้นหนึ่งชุด ส่งนักวิชาการมาสำรวจว่าชาวบ้านสบลานอาศัยอยู่ก่อนหรือหลังเกิดเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศ เมื่อปี 2554 รัฐบาลได้มีรื้อฟื้นโครงการเขื่อนแม่ขานอีกครั้ง ชาวบ้านเกรงว่าจะเกิดน้ำท่วมถึงบริเวณที่ทำกินจึงเคลื่อนไหว จึงร่วมกับเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำภาคเหนือ (คปน.) เสนอแนวทางการจัดการน้ำแบบบูรณาการ และการจัดทำโฉนดชุมชนเพื่อแสดงสิทธิในการรักษาป่าและที่ทำกิน
สะเมิง
จักรินรัฐ นิยมค้า และคณะ. (2564). โครงการศึกษาสังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรม ชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ (โครงการวิจัย). เชียงใหม่ : ม.ป.พ..