
เป็นชุมชนที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีการดำรงชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง หมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
เดิมชื่อหมู่บ้านว่า “หมู่บ้านปานขมุก” ก่อนจะมีผู้คนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำให้หมู่บ้านใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกลายมาเป็น “ชุมชนบ้านดอยปุย” ตั้งชื่อตาม ดอยปุย ซึ่งเป็นพื้นที่เดิม
เป็นชุมชนที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีการดำรงชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง หมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
หมู่บ้านดอยปุยมีการตั้งถิ่นฐานมากกว่า 50 ปี จากคำบอกเล่าสรุปได้ว่าบ้านดอยปุยก่อตั้งครั้งแรกเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2489 หลังสงครามโลกครั้งที่สองผ่านไปหนึ่งปี มีชาวม้งอพยพเข้ามาอยู่ก่อน เรียกชื่อหมู่บ้านว่า “หมู่บ้านปานขมุก” ต่อมามีชาวม้งจำนวน 3 ครอบครัว คือ นายชงหลื่อ แซ่ว่าง นายไซหลื่อ แซ่ลี และนายจู้สืบแซ่ว่าง เข้ามาทำไร่และตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านดอยปุยในปี พ.ศ. 2494 และมีชาวม้งและชาวจีนฮ่อ นำโดยนายเลาป๊ะ แซ่ย่าง อพยพหนีการปราบปรามยาเสพติดที่บ้านป่าคา ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เข้ามาตั้งถิ่นฐาน เพิ่มอีก 30 ครอบครัว จากการที่บ้านดอยปุยอยู่ใกล้พื้นที่เมือง ใกล้ตลาดและเป็นหมู่บ้านที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ทำให้มีการเคลื่อนย้ายของประชากรกลุ่มต่างๆ การตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรเริ่มขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2496 โดยเริ่มจากชาวจีนฮ่ออพยพมาจาก บ้านแม่สาใหม่เข้ามาอยู่อาศัยกับชาวม้ง และเป็นกลุ่มที่ทำการค้าขายกับชาวม้งมาตั้งแต่อดีตทำให้ชาวจีนฮ่อเรียนรู้วิธีการเพาะปลูกบนพื้นที่สูงจากชาวม้ง นอกจากนี้ยังมีการอพยพของกลุ่มคนเมืองพื้นราบและกะเหรี่ยงเข้ามาอยู่อาศัยในหมู่บ้านในปี พ.ศ. 2542 โดยกลุ่มคนเมืองพื้นราบ เข้ามาทำการค้าขายเพียงอย่างเดียว เพราะไม่มีความสามารถและความชำนาญทางด้านการเพาะปลูกพืชบนพื้นที่สูง ส่วนชาวกะเหรี่ยงอพยพเข้ามาเพื่อเป็นแรงงานรับจ้างในสวนให้กับกลุ่มชาวม้งที่มีฐานะดี
ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 11 ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลตำบลสุเทพ หมู่บ้านดอยปุยมีพื้นที่ทั้งสิ้น 10.85 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 6,781 ไร่ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ของตัวเมืองเชียงใหม่ บริเวณที่ตั้งหมู่บ้านอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย
โดยมีอาณาเขตติดต่อดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ ดอยผากลอง และบ้านแม่สาใหม่ อำเภอแม่ริม
- ทิศใต้ ติดต่อกับ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ยอดดอยปุย
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ น้ำตกศรีสังวาลย์ และบ้านทุ่งโป่ง อำเภอหางดง
สภาพพื้นที่ทางกายภาพ
มีสภาพพื้นที่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อนของเทือกเขาผีปันน้ำตอนบน ความสูงของพื้นที่อยู่ระหว่าง 700 - 1,280 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ยอดเขาที่สำคัญ คือ ดอยสุเทพ ดอยปุย และดอยบวกห้า โดยมีดอยปุยเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดคือ 1,685 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ยอดเขาเหล่านี้จึงเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญของแม่น้ำปิง ได้แก่ ห้วยแก้ว ห้วยช่าง เคี่ยน และห้วยแม่เหียะ เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งต้นน้ำลำธารที่ไหลลงสู่แม่น้ำปิง ประชากรตั้งบ้านเรือนอยู่ บริเวณเดียวกันในหุบเขาที่ระดับความสูงประมาณ 800 - 900 เมตร
ลักษณะภูมิอากาศ
พื้นที่ดอยปุยป่าและยอดเขาสูงอากาศจึงเย็นตลอดปี อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 16 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 7 องศาเซสเซียส สูงสุด 29 องศาเซลเซียส ฤดูหนาวอากาศหนาวจัด ส่วนในฤดูฝนอากาศเย็นและชื้น ส่วนในฤดูฝนอากาศเย็นและชื้น มีปริมาณน้ำฝนค่อนข้างมากประมาณ 1,600 มิลลิเมตร ฝนตกตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน โดยตกมากที่สุดในเดือนสิงหาคมและกันยายน
สภาพสังคม และชุมชน กลุ่มบ้านในพื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงดอยปุย มีประชากรจำนวน 1,408คน จำนวน 279 คน ครัวเรือน ประกอบด้วย 3 เผ่า คือ ม้ง กะเหรี่ยง พื้นเมือง ร้อยละ 80 เป็นเผ่าม้ง ด้านสาธารณสุขประชาชนใช้ บริการจากสถานีอนามัยบ้านโป่งน้อย และโรงพยาบาลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ และโรงพยาบาลนครพิงค์ และที่ผ่าน มาโครงการพัฒนาแบบพื้นที่สูงดอยปุยได้สนับสนุนการทำแผนชุมชนและการการนำไปใช้ประโยชน์ใน ส่งเสริมให้มีการ รวมกลุ่มอาชีพ ได้แก่ กลุ่มไม้ผล และกลุ่มปลูกผัก การจัดตั้งกลุ่มและกองทุนเพื่อให้เกษตรกรพึ่งตนเองได้ กลุ่มวิสาหกิจ ชุมชน การพัฒนาตลาดผลผลิตในชุมชน การพัฒนาหมู่บ้านสะอาดชุมชนเข้มแข็ง และสนับสนุนกิจกรรมเพื่อรักษาวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น
ประชากรบ้านดอยปุยมีทั้งสิ้น 1,391 คน 134 ครัวเรือน จำแนกได้ดังนี้
- ม้ง 1,284 คน 109 ครัวเรือน
- จีนฮ่อ 49 คน 7 ครัวเรือน
- คนเมือง 43 คน 13 ครัวเรือน
- กะเหรี่ยง 11 คน 2 ครัวเรือน
- เนปาล 2 คน 2 ครัวเรือน
- ญี่ปุ่น 2 คน 1 ครัวเรือน
และหากจำแนกประชากรตามตระกูลพบว่า
- ตระกูลว่าง(บน) มี 169 คน 16 ครัวเรือน
- ตระกูลลี 194 คน 18 ครัวเรือน
- ตระกูลย่าง 420 คน 34 ครัวเรือน
- ตระกูลว่าง(ล่าง) 252 คน 22 ครัวเรือน
- ตระกูลหาง 135 คน 8 ครัวเรือน
- ตระกูลซ่ง 19 คน 4 ครัวเรือน
- ตระกูลมัว 50 คน 4 ครัวเรือน
- ตระกูลเฒ่า 40 คน 3 ครัวเรือน
กลุ่มม้งบ้านดอยปุย มีระบบการถือสายตระกูลฝ่ายชายเช่นดียวกับม้งโดยทั่วไป มีระบบการตั้งบ้านเรือนในฝ่ายชายและถือฝ่ายชายเป็นใหญ่ เมื่อหญิงม้งจากตระกูลหนึ่งแต่งงานถือว่าหญิงคนนั้นเป็นสมาชิกในตระกูลของสามีทั้งร่างกายและจิตวิญญาณโดยสมบูรณ์ ม้งมีการห้ามแต่งงาน ในตระกูลเดียวกันอย่างเด็ดขาดเพราะถือว่ากลุ่มตระกูลที่ใช้แซ่มีบรรพบุรุษร่วมกัน
ม้ง, จีนยูนนาน(จีนฮ่อ)ชาวบ้านดอยปุย ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขายของพื้นเมืองให้แก่นักท่องเที่ยวเช่น เสื้อผ้า-กระเป๋าผ้าพื้นเมือง เครื่องประดับทำด้วยเงินและหินสี ของที่ระลึกผัก-ผลไม้สดเมืองหนาว ผลไม้แช่อิ่ม ชา กาแฟ ลำใยอบแห้ง สมุนไพรต่างๆ โดยมีร้านค้าถาวรสร้างติดต่อกันเป็นแนวยาว
สภาพเศรษฐกิจ
เกษตรกรในพื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขายและทำการเกษตรกรรมประมาณร้อยละ 60 ค้าขาย อย่างเดี่ยวประมาณร้อยละ 10 เป็นการค้าขายให้ กับนักท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ โดยเปิดร้านจำหน่ายสินค้าประเภท หัตถกรรม เสื้อผ้าสำเร็จรูป ผ้าทอใยกัญชง ผ้าปักลาย ผ้าเขียนลายเทียน เครื่องประดับทำด้วยเงิน อัญมณี ร้านอาหาร-เครื่องดื่มและบริการถ่ายภาพ ทำการเกษตรกรรมอย่างเดียวประมาณร้อยละ 25 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสวนลิ้นจี่มี พื้นที่เพาะปลูกประมาณ 1,000 ไร่ มีปริมาณผลผลิตลิ้นจี่ ปีละประมาณ 800-1,000 ตัน ผลผลิตโดยเฉลี่ยไร่ละ 100 กิโลกรัม และปลูกพืชชนิดอื่นๆ ได้แก่ กาแฟอราบิก้า ข้าวโพด พลับ ไม้ดอกไม้ประดับ และพืชผักต่างๆ ซึ่งสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี และประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไปประมาณร้อยละ 5 การดำเนินงานส่งเสริมและพัฒนาอาชีพของโครงการพัฒนาพื้นที่ สูงแบบโครงการหลวงดอยปุยที่ผ่านมากได้พัฒนาและส่งเสริมอาชีพแก่ เกษตรกร เพื่อให้มีทางเลือกในการประกอบอาชีพและรายได้มากยิ่งขึ้น โดยพัฒนาการปลูกพืชเดิม คือ ลิ้นจี่ และส่งเสริมการปลูกใหม่ๆ เช่น พืชผักในโรงเรือน ไม้ผลเมืองหนาว ได้แก่ องุ่น อาโวคาโด กาแฟ ส่งเสริม การเลี้ยงสัตว์เพื่อสร้างรายได้เสริม และบริโภคในครัวเรือน ส่งเสริมงาน หัตถกรรมท้องถิ่น ประชาชนมีรายได้เฉลี่ย 167,53.09 บาท ต่อครัวเรือนต่อปี
การประกอบอาชีพ
ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขายสินค้าหัตถกรรม และทำการเกษตรปลูกลี้นจี่และสตรอเบอรี่ เป็นการค้าขายแก่นักท่องเที่ยวโดยเปิดร้านจำหน่ายสินค้าหัตถกรรม อาหาร และเครื่องดื่ม เสื้อผ้า ทำการเกษตรอย่างเดียวร้อยละ 25 ซึ่งส่วนใหญ่ทำสวนลิ้นจี่ มีพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 1,000 ไร่ มีปริมาณผลผลิตปีละประมาณ 800 – 100 ตัน ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ100 กิโลกรัม และปลูกพืชอื่นๆ ได้แก่ พืชผักสวนครัวไว้บริโภคในครัวเรือน และข้าวโพดสำหรับจำหน่ายในชุมชนซึ่งสามารถปลูกได้ตลอดปี และมีอาชีพรับจ้างทั่วไปร้อยละ 5
การถือครองที่ดิน
เกษตรกรหมู่บ้านดอยปุยไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยเนื่องจากเป็นพื้นที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย
การรวมกลุ่มของเกษตรกร
ประชากรหมู่บ้านดอยปุยได้มีการจัดตั้งกลุ่มด้านอาชีพต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ กลุ่มผู้ปลูกกาแฟอราบิก้า กลุ่มผู้ปลูกไม้ดอกไม้ประดับ กลุ่มผู้ปลูกไม้ผล กลุ่มผู้ปลูกผักปลอดภัย กลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ และกลุ่มหัตถกรรมผ้าเขียนเทียน
ผู้นำของหมู่บ้านดอยปุย
- พ่อหลวงนวย เมธาพันธุภุชกฤษดาภา เป็นผู้ใหญ่บ้าน
- นายยิ่งยศ หวังวนวัฒน์ เป็นประธานประชาคมหมู่บ้าน
- นายประดิษฐ์ ปัญญา เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์
ผู้นำชุมชนด้านต่างๆ
- ด้านพิธีกรรมทางศาสนา คือ นายปัญหา เลาลี นายถวิล เลาลี และนางจง แซ่ย่าง
- ด้านสมุนไพรพื้นบ้าน คือ นายเสือ แซ่ลี นางไม้ แซ่ลี และนางชา แซ่ย่าง
- ด้านหัตถกรรม (ผ้าเขียนเทียนลายม้ง) คือ นางยาหยี หวังวนวัฒน์
- ด้านเครื่องดนตรีพื้นบ้าน คือ นายแต่ง แสนยาเกียรติคุณ และนายสูหยี เฟื่องฟูกิจการ
ทุนกายภาพ
มีพืชสมุนไพรที่สำคัญ คือ
- ฉั้วม่ออั๋ว เป็นพืชใบเถา มีใบคล้ายรูปหัวใจ มีสรรพคุณในการรักษาแผลเรื้อรัง เนื้องอก โรคเกี่ยวกับตับ ปอด และอวัยวะภายในต่างๆ
- ต้นหญ้าเทวดาสีแดง มีลักษณะคล้ายหญ้าปักกิ่ง ขึ้นตามหินผาที่มีความสูง มีสรรพคุณในทางรักษาโรคร้ายและเป็นยาบำรุง
- ยาช่วยให้มีลูก เป็นพืชเถาใบยาวประมาณ 4 นิ้ว กว้างประมาณ 1 นิ้ว มักขึ้นตามต้นน้ำที่มีความชื้นตามป่าดิบเขาที่มีความสูง 1,000 เมตรขึ้นไป การนำเถาตากแห้งชงน้ำร้อนดื่ม มีสรรพคุณช่วยให้สตรีที่มีบุตรยากมีบุตรง่าย และเชื่อว่าสามารถกำหนดเพศของลูกได้
- ไปเด๋ เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก มีใบกว้างค่อนข้างกลม ใบมีรอยหยัก มีกลิ่นฉุน ใช้รักษาอาการปวดหัวเป็นไข้ โดยการนำใบมาขยี้ให้เละ นวดบริเวณขมับ ท้ายทอย และกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ
- ปัวต้อ ภาษาไทยเรียกว่าว่านเปราะหอม มีใบกว้างติดผิวดิน กลิ่นหอม ใช้รักษาอาการปวดท้องทั่วๆ ไป อาการอาหารเป็นพิษและจุกเสียดแน่นท้อง
ทุนวัฒนธรรม
1.) ระบบความเชื่อ
ชาวม้งมีการรักษาผู้ป่วยด้วยการเข้าทรง สามารถแบ่งย่อยเป็น 2 ประเภทคือ เน้งมัวเด๊อ (เน้งตาขาว) ประกอบพิธีโดยหมอผี เป็นการข่มผู้ให้วิญญาณร้ายออกจากร่างกายผู้ป่วย เนื่องจาก ม้งเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดจากขวัญหายหรือเกิดจากวิญญาณร้ายเข้าสิงในร่างกายผู้ป่วย เน้งม้งดู๊ (เน้งตาดำ) เป็นพิธีกรรมเข้าทรงที่สลับซับซ้อน สำหรับรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง รักษาด้วยวิธีใดก็ไม่หาย หมอผีที่มีอยู่แล้วจะทำการตั้งแท่นบูชาผีและลองเข้าทรง หากผู้ป่วยสามารถเข้าทรงได้แสดงว่าวิญญาณผู้ทรงได้เลือกและยอมรับให้ผู้ป่วยคนนั้นเป็นหมอผีแล้ว จากนั้นอาการเจ็บป่วยเรื้อรังจะหายและเขาจะกลายเป็นหมอผีโดยสมบูรณ์ และสามารถทำการรักษาคนอื่นต่อไปได้ การเข้าทรงเน้งม้งดู๊ดังกล่าวหมายถึงว่า วิญญาณผู้ป่วยได้ถูกนำไปปรโลกแล้ว การเข้าทรงของหมอผีบนโต๊ะยาว เป็นการขี่ม้าเข้าสู่ปรโลกเพื่อติดตามหรือไถ่วิญญาณผู้ป่วยกลับมา ม้งมีความเชื่อว่า “พืชคร่าวิญญาณ” (Tshuaj noj tuag , Soul Snatcher Plant) มีวิญญาณแห่งความตายแฝงอยู่ ผู้ใดพบและเห็นยอดปลิวไสวตามแรงลม จะมีสิ่งดลใจให้ผู้พบมองเห็นความตาย แล้วเด็ดยอดมากินในที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่ผิดหวังในชีวิต มักจะใช้พืชชนิดนี้แก้ปัญหา ม้งเชื่อว่าหน้าไม้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติ การเจ็บป่วยนั้น มีสาเหตุมาจากวิญญาณร้าย (Wild Spirits) มาจับขวัญหรือวิญญาณผู้ป่วยไป ม้งจึงทำหน้าไม้ที่ง้างไว้เสียบบนหลังคาบ้านเพื่อป้องกันวิญญาณร้ายต่างๆ นอกจากนี้ ม้งมีความเชื่อเกี่ยวกับ ชีวิตหลังความตายว่า วิญญาณคนตายจะกลับคืนสู่ถิ่นกำเนิดของม้งทางขั้วโลกเหนือ ในระหว่างเดินทางจะต้องพบกับศัตรูภูตผี และสัตว์ต่างๆ จึงต้องเตรียมหน้าไม้ให้กับศพเพื่อนำไปต่อสู้กับศัตรูต่างๆ ก่อนที่จะไปพบกับวิญญาณ ของบรรพบุรุษที่ได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านั้น
สถานที่ที่เกี่ยวข้อง
โบราณสถานสันกู่ ดอยปุย เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระฤาษีวาสุเทพ โบราณสถานสันกู่ตั้งอยู่บริเวณยอดดอยปุย จังหวัดเชียงใหม่ มีฐานวิหารก่ออิฐเป็นผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า และฐานกู่เจดีย์ 1 องค์ ภายหลังการขุดค้นทางโบราณคดีได้พบพระพิมพ์ดินเผ่าในกลุ่มพระสิบสองและพระสิบแปด ที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 17 – 18 เป็นหลักฐานยืนยันว่าอยู่ในสมัยหริภุญไชยซึ่งเป็นโบราณสถานที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดกว่าโบราณสถานใดๆ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณชุมชนแถบดอยสุเทพ และยังมีความสัมพันธ์กับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวลัวะ สอดคล้องกับวัฒนธรรมการประดิษฐานพระธาตุ บนยอดดอย ภายหลังการสถาปนาพระธาตุดอยสุเทพขึ้นในบริเวณภูเขาอีกแห่งหนึ่งในระดับต่ำลงมา ทำให้พระธาตุดอยสุเทพกลายเป็นปูชนียสถานที่สำคัญนับตั้งแต่นั้นมา ทั้งๆ ที่ควรมีพื้นที่ศักดิ์เพียงแห่งเดียวเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมธาตุ คือ บริเวณสันกู่ แต่ในเหตุการณ์เชิญ พระธาตุได้เปลี่ยนนิมิตรสถานไว้บนตำแหน่งช้างทรงพระบรมธาตุสิ้นชีวิตลง สันกู่จึงลดความสำคัญลง และค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำ
เมื่อ พ.ศ.2526 หน่วยศิลปากรที่ 4 เชียงใหม่ ได้ขุดแต่งบูรณะซากโบราณสันกู่ ในการทำงานครั้งนั้น เป็นไปตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงทราบว่า โบราณสถานแห่งนี้ถูกขุดทำลายเป็นเวลานานแล้ว สมควรให้กรมศิลปากรสำรวจ และบูรณะให้อยู่ในสภาพที่ดีต่อไป นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ต่อการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดี สภาพก่อนการขุดแต่ง เป็นเนินโบราณสถานที่ต้นไม้หนาแน่น เมื่อขุดลอกดินที่ทับถมออก พบซากเจดีย์และฐานวิหาร ได้ขุดลอกหลุมที่เกิดจากการลักลอบขุดที่ตรงกลางฐานเจดีย์ ในระดับความลึก 5.30 เมตร พบโบราณวัตถุในกรุที่สำคัญ ได้แก่ เศียรพระพุทธรูปศิลปะแบบหริภุญไชย พระพิมพ์ดินเผาศิลปะแบบหริภุญไชย เศษเครื่องปั้นดินเผาเป็นชิ้นส่วนขนาดเล็กของจีนสมัยราชวงศ์หมิง (พ.ศ.1911-2187) และการขุดแต่ส่วนอื่นพบเศษเครื่องปั้นดินเผา จากแหล่งเตาสันกำแพง สันนิษฐาน โบราณสถานสันกู่มีอายุระหว่าง พุทธศตวรรษที่ 19-22
โบราณสถาน “สันกู่” บนยอดดอยปุย เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระฤาษีวาสุเทพน้อยคนที่จะทราบว่า บนยอดดอยที่สูงเหนือกว่าดอยสุเทพ เมืองเชียงใหม่ขึ้นไปอีก มีซากโบราณสถานแห่งหนึ่งชื่อว่า “สันกู่” มีอายุเก่ากว่าพระธาตุดอยสุเทพ และเก่าแก่กว่าโบราณสถานใดๆ ในพื้นที่แถบเชิงดอยสุเทพ แต่ปัญหามีอยู่ว่า โบราณสถานแห่งนี้คืออะไร ทำไมจึงถูกสร้างบนยอดดอยสูงและไกลเช่นนั้น ดอยสุเทพนั้นเป็นชื่อที่เรียกตามนามของพระสุเทวฤาษีหรือพระฤาษีวาสุเทพ ซึ่งในอดีตได้เคยมาอยู่บำเพ็ญตะบะอยู่ ณ ภูเขาแห่งนี้ ซึ่งบริเวณเชิงดอยสุเทพ มีเมืองโบราณเวียงเจ็ดลิน ตามตำนานกล่าวว่าเป็น เมืองเชษฐะบุรี ซึ่งเป็นชุมชนของชาวลัวะ การศึกษาที่ผ่านมาพบหลักฐานโบราณสถานและวัตถุสมัยหริภุญไชยที่แสดงให้เห็นว่าเวียงเจ็ดลิน เป็นชุมชนโบราณที่มีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 17-18 ต่อมาในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 20 พระญากือนากษัตริย์ล้านนาโปรดฯให้สร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้นไว้บนยอดดอยสุเทพด้วยเหตุนี้ดอยสุเทพจึงเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากเคยเป็นทั้งที่อยู่ของพระฤาษีวาสุเทพ และเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมธาตุดอยสุเทพแต่บนยอดดอยปุย
ชาวบ้านในชุมชนบ้านดอยปุยใช้ภาษาม้ง ซึ่งจัดอยู่ในสาขาเมี้ยว-เย้าจองตระกูลจีน-ธิเบตไม่มีภาษาเขียนแต่ยืมตัวอักษรภาษาโรมันมาใช้ ม้งไม่มีภาษาที่แน่นนอน ส่วนใหญ่มักจะรับภาษาอื่นมาใช้พูดกัน เช่น ภาษาจีนยูนนาน ภาษาลาว ภาษาไทยภาคเหนือ เป็นต้น ซึ่งม้งทั้ง 3 เผ่าพูดภาษาคล้ายๆ กัน คือ มีรากศัพท์ และไวยากรณ์ที่เหมือนกัน แต่การออกเสียงหรือสำเนียงจะแตกต่างกันเล็กน้อย ม้งสามารถใช้ภาษาเผ่าของตนเอง พูดคุยกับม้งเผ่าอื่นเข้าใจได้เป็นอย่างดี แต่ม้งไม่มีภาษาเขียนหรือตัวหนังสือ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันชาวม้งได้เขียน และอ่านหนังสือภาษาม้ง โดยการใช้ตัวอักขระหนังสือละติน (Hmong RPA) เรื่องราวความเป็นมาต่างๆ ของม้ง จึงอาศัยวิธีการจำและเล่าสืบต่อกันมาเพียงเท่านั้น
ได้รับพระกรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานทุทนทรัพย์ส่วนพระองค์ผ่านยังกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนค่ายราดารัศมี เพื่อเป็นกองทุนหมู่บ้านในการสร้างอาชีพด้านการค้าขายเมื่อปี พ.ศ. 2510
ในปี พ.ศ. 2507 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชก่ลที่ 9 ทรงมีรับสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ฝ่ายปกครอง) สำรวจประชากรของหมู่บ้านและให้สัญชาติไทยแก่หมู่บ้านและชาวบ้าน
ในปี พ.ศ. 2500 กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต 5 (ค่ายดารารัศมี) ได้เข้ามาช่วยเหลือและพัฒนาหมู่บ้าน โดยจัดตั้งโรงเรียนสอนหนังสือให้กับชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านได้เรียนรู้ภาษาไทยและอ่านออกเขียนได้ และต่อมาการพัฒนาหมู่บ้านได้ทราบถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระองค์ได้พระราชทานโรงเรียนส่วนพระองค์แก่หมู่บ้าน โดยพระราชทานชื่อโรงเรียนว่า “โรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์ 1” และเปิดทำการสอนอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2507
ลีศึก ฤทธิ์เนติกุล, และ ยิ่งยศ หวังวนวัฒน์. (2564). การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์กับการอยู่รอดของชุมชนชาวม้งบ้านดอยปุย อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย จังหวัดเชียงใหม่. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม.
สุรพล ดำริห์กุล. (2557). โบราณสถานสันกู่ ดอยปุย: พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระฤาษีวาสุเทพ. วารสารวิจิตรศิลป์, 5(1), 1-18.
อดิเรก อินต๊ะฟองคำ, อานนท์ ยอดหญ้าไทย, และสามารถ เดยะ. (2561). ข้อมูลพื้นฐานโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงดอยปุย ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2566. เข้าถึงได้จาก: https://www.hrdi.or.th/public/files/Areas-Profile
อมิตา จินาเคียน. (2559). ประวัติดอยปุย. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2566. เข้าถึงได้จาก: https://sites.google.com/a/longwittaya.ac.th/
อมิตา จินาเคียน. (2559). หมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งดอยปุย. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2566. เข้าถึงได้จาก: https://sites.google.com/a/longwittaya.ac.th/hmuban-chaw-khea-phea-m-ngd-xy-puy/home