Advance search

หมู่บ้านญัฮกุร, โดง คะม่า

ชุมชนบ้านไร่ เป็นหนึ่งในชุมชนชาติพันธุ์ของชาว “ญัฮกุร” ที่ยังคงแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ เช่น การใช้ภาษาญัฮกุร วัฒนธรรมการกิน การใส่เสื้อพ้อก และการทำสวนสมุนไพร อีกทั้งบ้านไร่ยังเป็นชุมชนที่ได้รับความสนใจเข้ามาศึกษาจากนักวิชาการหลายทศวรรษ ความรู้ทางวิชาการและความเข้มแข็งของชุมชนก่อให้เกิด “กลุ่มเยาวชน” ที่คอยหล่อเลี้ยงอัตลักษณ์ญัฮกุรให้ยังคงอยู่

บ้านไร่
บ้านไร่
เทพสถิต
ชัยภูมิ
อิศเรส เตชะเจริญกิจ
9 ก.ค. 2023
อิศเรส เตชะเจริญกิจ
10 ก.ค. 2023
บ้านไร่
หมู่บ้านญัฮกุร, โดง คะม่า

“โดงคะม่า” ในภาษาญัฮกุร คำว่า "โดง" หมายถึงบ้าน และ "คะม่า" หมายถึง ไร่


ชุมชนบ้านไร่ เป็นหนึ่งในชุมชนชาติพันธุ์ของชาว “ญัฮกุร” ที่ยังคงแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ เช่น การใช้ภาษาญัฮกุร วัฒนธรรมการกิน การใส่เสื้อพ้อก และการทำสวนสมุนไพร อีกทั้งบ้านไร่ยังเป็นชุมชนที่ได้รับความสนใจเข้ามาศึกษาจากนักวิชาการหลายทศวรรษ ความรู้ทางวิชาการและความเข้มแข็งของชุมชนก่อให้เกิด “กลุ่มเยาวชน” ที่คอยหล่อเลี้ยงอัตลักษณ์ญัฮกุรให้ยังคงอยู่

บ้านไร่
บ้านไร่
เทพสถิต
ชัยภูมิ
36230
15.5506426522064
101.410429626703
องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านไร่

“ชุมชนบ้านไร่” หรือ “โดงคะม่า” (ในภาษาญัฮกุร คำว่า โดง หมายถึงบ้าน และคะม่า หมายถึงไร่) ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านไร่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ เป็นหนึ่งในชุมชนชาติพันธุ์ของชาว “ญัฮกุร” ที่ยังคงมีการอาศัยอยู่ เช่นเดียวกับชุมชนญัฮกุรอื่น ๆ ที่ยังคงกระจายตัวอยู่ตามแนวที่ราบสูงโคราช อาทิ ตามแนวเขาพังเหย เขาพนงดงรัก หรือในจังหวัดนครราชสีมา (อ.ปักธงชัย) และเพชบูรณ์ 

หากอ้างอิงจากงานศึกษาของอิริค ไซเดนฟาเดน (Erik Seidenfaden) อดีตประธานสยามสมาคม ที่ได้เข้ามาสำรวจชาวญัฮกุรในจังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา และเพชรบูรณ์ เมื่อราว ค.ศ. 1918 ก็จะพบว่า เขาได้ทำความรู้จักกับชาวญัฮกุรและรู้ว่า “คนอื่น” มีวิธีการเรียกชาวญัฮกุรตามแต่ละพื้นที่แตกต่างกันออกไปอย่างไร เช่น ในจังหวัดชัยภูมิ ชาวญัฮกุรถูกเรียกว่า “ละว้า” หรือ “ชาวบน” ส่วนชาวญัฮกุรในนครราชสีมากลับถูกเรียกว่า “เนียะกุล” เป็นต้น (Seidenfaden 1918, 1919, อ้างถึงใน พิพัฒน์ กระแจะจันทร์, 2559, น. 18) นอกเหนือไปจากเนื้อหาในงานศึกษาของไซเดนฟาเดน เราก็อาจอนุมานในเบื้องต้นได้ว่า การมีอยู่ของชาวญัฮกุรในจังหวัดชัยภูมิ (รวมถึงชาวญัฮกุรที่กระจายอยู่ตามที่ราบสูงโคราช) ต้องมีอายุในการตั้งถิ่นฐานมาแล้วอย่างน้อย 100 ปีกว่า ๆ ตามอายุงานศึกษาชิ้นดังกล่าวของไซเดนฟาเดนนั้นเอง

ถัดมาในช่วงปี ค.ศ. 1984 ก็ได้มีงานทางด้านภาษาศาสตร์เข้าศึกษาและมาอธิบายเพิ่มว่า ภาษาญัฮกุรมีความแตกต่างไปจากภาษามอญที่ใช้กันในปัจจุบัน แต่ในทางกลับกัน ก็มีความคล้ายคลึงกับภาษามอญโบราณที่ปรากฎอยู่ในจารึกทวารวดีที่ค้นพบในประเทศไทย (Diffloth, 1984, อ้างถึงใน อภิญญา บัวสรวง และ สุวิไล เปรมศรีรัตน์, 2541, น. 9) จากความพยายามเชื่อมโยง “ญัฮกุร” ให้เข้ากับ “มอญโบราณ” ในมิติทางภาษาศาสตร์ ทำให้งานศึกษาเกี่ยวกับทวารวดีในประเทศไทยในเวลาต่อมา ก็ได้หยิบยกเอาข้อเสนอของ Diffloth มาดัดแปลงเป็นสมมติฐานที่ว่า ชาวญัฮกุรอาจจะเป็นลูกหลานของคนสมัยทวารวดีที่ยังหลงเหลืออยู่ก็เป็นได้ (ธิดา สาระยา, 2538, น. 195) 

ถ้าหากเป็นไปตามสมมติฐานของธิดา สาระยา บริเวณที่ชาวญัฮกุรอาศัยอยู่ตามที่ราบสูงโคราชก็ควรจะพบหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงความต่อเนื่องของยุคสมัยและวัฒนธรรมด้วย ทำให้พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ นักประวัติศาสตร์ที่ได้เข้ามาทำการขุดค้นเพื่อหาหลักฐานทางโบราณคดีในพื้นที่ อ.เทพสถิต หรือตามแนวเทือกเขาพังเหย โดยเฉพาะบริเวณช่องเขาที่ชื่อว่า “ช่องชิด” ใกล้กับชุมชนบ้านไร่ ผลการศึกษาพบว่า แหล่งโบราณคดีที่ค้นพบตามแนวเทือกเขาพังเหยล้วนมีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 17-19 เป็นต้นไป ซึ่งไม่ได้มีนัยยะสำคัญที่แสดงถึงความต่อเนื่องกับรัฐทวารวดีมากนัก หากแต่แสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องกับอิทธิพลของอาณาจักรเขมร (ช่วงพระเจ้าชัยวรมันที่ 6-7) เสียมากกว่า เช่น การพบชิ้นส่วนเครื่องถ้วยการค้าและเครื่องปั้นดินเผาแบบเขมร ยิ่งโดยเฉพาะแหล่งโบราณคดีที่ใกล้กับเขาช่องชิด ก็จะพบของสิ่งของจากต่างถิ่นและเครื่องถ้วยการค้า (หรือเครื่องถ้วยที่มาจากจีน) หลายชิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ที่ปัจจุบันเรียกว่า “บ้านไร่” และบริเวณใกล้เคียงนั้น น่าจะก่อตัวขึ้นเป็นหมู่บ้านด้วยเหตุผลคือ อยู่ใกล้กับเส้นทางคมนาคมและเส้นทางการค้าในอดีต (พิพัฒน์ กระแจะจันทร์, 2559, น. 27-30) ถึงกระนั้น แม้จะมีหลักฐานการใช้งานพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 17 แต่ก็ไม่อาจชี้ชัดได้ว่าเป็นชาวญัฮกุรหรือคนกลุ่มใดที่อาศัยอยู่ 

อย่างไรก็ดี ชาวญัฮกุรบางคนยังคงสามารถเล่าถึงที่มาที่ไปของ “โดง คะม่า” หรือเรื่องราวการย้ายถิ่นฐานมาตั้งหมู่บ้านที่ชื่อว่า “บ้านไร่” โดยเรื่องราวย้อนกลับไปเมื่อ 80 กว่าปีก่อน แถวช่องตับเต่า บ้านปรกใหญ่ และบ้านวังแล่ ซึ่ง 3 สถานที่นี้ น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยเดิมของชาวญัฮกุรก่อนที่จะโยกย้ายมาสู่บ้านไร่ เพราะชุมชนเดิมเกิดโรคระบาด (ฝีดาษ) ประกอบกับบริเวณบ้านไร่มีทรัพยากรน้ำและดินที่เหมาะสมแก่การทำการเกษตร เช่น สามารถปลูกข้าวไร่และเดือยได้ อีกทั้งยังตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคม ทำให้ในเรื่องเล่า “โดง คะม่า” จึงกล่าวถึงสาเหตุที่เกิดเป็น “บ้านไร่” ในปัจจุบันนั้นเอง (พิพัฒน์ กระแจะจันทร์, 2557, น. 82) 

ในระยะแรก บ้านไร่มีบ้านเรือนประมาณ 6 หลัง แต่ด้วยในช่วงปี พ.ศ. 2500 ที่มีแผนพัฒนาเศรฐกิจ ก็ทำให้มีชาวไทยอีสานย้ายเข้ามาอยู่ในชุมชนมากขึ้น และแต่งงานกับชาวญัฮกุรด้วย (เพิ่งอ้าง, 84) และที่สำคัญ ในปี พ.ศ. 2511 ได้มีการตั้งโรงเรียนบ้านไร่พัฒนาขึ้น ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้มีคนเข้ามาอาศัยในชุมชนเยอะกว่าเดิม แต่ที่แน่ ๆ โรงเรียนบ้านไร่พัฒนามีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้ภาษาญัฮกุรเกือบถูกกลืนหายไป ในประเด็นวิกฤติภาษานี้ ผู้เขียนจะขอยกไปพูดถึงในหัวข้อ “ภาษา” ต่อไป

ชุมชนบ้านไร่ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตำบล บ้านไร่ และตั้งอยู่ห่างไปจากน้ำตกบ้านไล่ประมาณ 500 เมตร

  • ไปทางทิศเหนือ ผ่านบ้านโนนสำราญไปประมาณ 10 กิโลเมตร จะพบกับอุทยาแห่งชาติป่าหินงาม (ทุ่งดอกกระเจียว)
  • ไปทางทิศใต้ประมาณ 1.5 กิโลเมตร จะพบกับที่ทำการ อบต.บ้านไร่ รวมถึงด้านทิศใต้จะติดกับ ต.วะตะแบก และ ต.ห้วยยายจิ๋ว
  • ไปทางทิศตะวันออก จะพบกับคลองลำคันฉุ รวมถึงด้านทิศตะวันออกจะติดกับ อ.บำเหน็จนรงค์ และ อ.ซับใหญ่
  • ไปทางทิศตะวันตกติดกับหนองปล้อง อ.ลำสนธิ  จ.ลพบุรี

จากรายงานโครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย (2561) ที่ได้ทำการสำรวจจำนวนประชากรและการตั้งถิ่นฐานชาวญัฮกุรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 ถึง 2560 พบว่า ที่บ้านไร่มีชาวญัฮกุรอยู่จำนวน 10 ครัวเรือน จาก 466 ครัวเรือนทั้งหมด และมีประชากรชาวญัฮกุรอยู่ 70 คน จากประชากรทั้งหมด 1382 คน

สำหรับระบบเครือญาติ หากว่ากันตามประเพณี ชาวญัฮกุรจะนับถือผีฝ่ายหญิง ทำให้เมื่อแต่งงานแล้ว ฝ่ายชายจะต้องย้ายเข้าไปอยู่บ้านของพ่อแม่ฝ่ายหญิง นอกเหนือไปจากการนับผีฝ่ายหญิงแล้วนั้น ระบบเครือญาติของชาวญัฮกุรได้ให้น้ำหนักความสำคัญกับทั้งฝ่ายชายและหญิงอย่างเสมอ ๆ กัน ดังที่สะท้อนผ่านคำเรียกญาติ เช่น โองอึนชีร พ่ะอึนชีรหรือที่แปลว่า แม่ยาย พ่อตาเป็นต้น

โปรดสังเกตว่า ชาวญัฮกุรที่บ้านไร่จะมีนามสกุลที่คล้าย ๆ กัน อย่างนามสกุลที่จะมีคำว่า จัตุรัสเช่น ยิ้มจัตุรัส เย็นจัตุรัส หรือยี่จัตุรัส และอีกมากมาย ซึ่งผู้เขียนสังเกตว่า ความแตกต่างของนามสกุลจะมาจากการเปลี่ยนคำข้างหน้าแทน อย่างไรก็ดี ข้อจำกัดของที่มาที่ไปของนามสกุลนี้คือยังขาดคำบอกเล่าจากชาวญัฮกุรเอง

ญัฮกุร
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

เดือน 4 ประเพณีแห่หอดอกผึ้ง

หอดอกผึ้ง ถูกสร้างขึ้นด้วยโครงไม้ที่ทำเป็นรูปคล้ายเรือนหรือปราสาท และประดับประดาโดยรอบไปด้วยขี้ผึ้งรูปดอกไม้หรือดอกผึ้ง ในช่วงงานบุญใหญ่ประจำปี (ตรงกับช่วงสงกรานต์ของทุกปี) ชาวญัฮกุรจะรวมตัวกันเพื่อช่วยกันสร้างหอดอกผึ้ง และนำหอดอกผึ้งไปแห่รอบหมู่บ้าน เพื่อเป็นการบูชาธรรมชาติที่ได้ให้ชีวิตและสรรพสิ่งตามคติของชาวญัฮกุร เมื่อแห่เสร็จ หอดอกผึ้งจะถูกนำไปถวายวัดเพื่อที่พระจะได้นำเอาขี้ผึ้งที่ใช้ตกแต่งหอดอกผึ้งไปทำเทียนพรรษาต่อไป 

เดือน 5-6 ประเพณีเลี้ยงผีปู่ตา

การเลี้ยงผีของชาวญัฮกุรจะทำขึ้นบริเวณศาลผีเจ้าบ้าน โดยจะเริ่มจากการซ่อมศาลผีฯ ประจำปี เมื่อซ่อมแล้วเสร็จ ผู้ใหญ่บ้านก็จะประกาศและนัดแนะชาวบ้านว่าจะมีการเลี้ยงผีกัน ในวันพิธีก็จะมีของเซ่นไหว้ เช่น ไก่ต้ม ไข่ต้ม ผ้าแพร ผ้าไหม และธูปเทียน และก็จะมี ‘หมอโทน’ ตีโทนประกอบขั้นตอนการเรียกผีด้วย ซึ่งผีที่ชาวญัฮกุรเรียกมาลงทรงตลอดทั้งวันนั้น ก็มีผีหลากหลายมากตั้งแต่ผีญัฮกุร ผีลาว ผีเจ้าพ่อ ผีไทย หรือผีพยาแล ฯลฯ ซึ่งการจะดูว่าผีตนนั้นเป็นผีอะไร ก็อาจจะสังเกตในเบื้องต้นได้จากภาษาพูด เช่น ผีญัฮกุรก็จะพูดญัฮกุร เป็นต้น

เมื่อผีประทับร่างทรง ชาวบ้านก็จะถามผีเหล่านั้นว่ามาจากไหน อยากกินอะไร รวมไปถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วสบายดีหรือไม่ เมื่อถามเสร็จ ก็จะเชิญให้ผีตนนั้นกินของเซ่นไหว้ และเชิญผีตัวอื่น ๆ มาลงทรงตลอดทั้งวัน 

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

“ภาษาญัฮกุร” ได้รับความสนใจตั้งแต่นักภาษาศาสตร์ต่างประเทศอย่าง Diffloth ผู้ที่เข้ามาศึกษาและพูดเป็นคนแรกว่า ภาษาญัฮกุรมีความสัมพันธุ์กับภาษามอญโบราณที่ใช้กันในรัฐทวารวดี ซึ่งก็เป็นข้อเสนอทางวิชาการที่ทำให้ “ญัฮกุร” เป็นที่รู้จักในแวดวงภาษาศาสตร์และมีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ (โดยเฉพาะงานศึกษาประวัติศาสตร์เกี่ยวกับรัฐทวารวดี) จนในช่วงทศวรรษ 2540 ชาวญัฮกุรได้รับความสนใจอีกครั้งจากนักภาษาศาสตร์ชาวไทย ด้วยเหตุผลที่ญัฮกุรเป็นหนึ่งในชาติพันธุ์ที่กำลังเผชิญกับ “วิกฤติทางภาษา” ที่เสี่ยงต่อการสูญหายของภาษาและรากเหง้าทางวัฒนธรรม 

สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้มีโครงการเข้ามาศึกษาและเก็บข้อมูลทางวัฒนธรรมเอาไว้ภายใต้ฐานคิด “มรดกของมนุษยชาติ” ซึ่งก็ได้ผลิตงานศึกษาเกี่ยวกับญัฮกุรออกมาหลายชิ้นด้วยกัน เช่น สารุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ญัฮกุ้ร เป็นงานที่อธิบายว่า ภาษาญัญกุรเป็นภาษาในตระกูลออสโตรเอเชียติค ในสาขามอญ-เขมร สาขาย่อยโมนิค และมีความใกล้เคียงกับภาษามอญที่อยู่ในสาขาย่อยเดียวกัน(อภิญญา บัวสรวง และ สุวิไล เปรมศรีรัตน์, 2541, น. 9)

อีกทั้ง จากงานศึกษาข้างต้น ก็ได้นำเสนอเกี่ยวกับลักษณะระบบเสียง ลักษณะทางไวยกรณ์ ตัวเลขและจำนวนนับ และเนื่องจากภาษาญัฮกุรไม่มีภาษาเขียน จึงใช้อักษรแทนเสียงด้วยตัวอักษรภาษาไทย ดังตัวอย่าง ตัวเลขและจำนวนนับ

ตัวเลขและจำนวนนับในภาษาญัฮกุร 

muəjมวยหนึ่ง
baːrบารสอง
piː? ปิสาม
panปันสี่
chuːnชูนห้า
traw เตราหก
mpɔh อึมป็อฮเจ็ด
ncaːmอึนจามแปด
nciːtอึนจีดเก้า
casจัซสิบ
cas muəjจัซ มวยสิบเอ็ด
baːr chuəjบาร ช้วยยี่สิบ
muəj choːkมวย โชกหนึ่งร้อย
ca̤s cho̤ːkจัซ โชกหนึ่งพัน
หมายเหตุ จาก สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ญัฮกุร (น. 12), โดย อภิญญา บัวสรวง และ สุวิไล เปรมศรีรัตน์, 2541, กรุงเทพฯสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล.

ความถดถอยของภาษาและวัฒนธรรมญัฮกุร โดยเฉพาะในชุมชนบ้านไร่ อาจอธิบายในบริบทเชิงประวัติศาสตร์ได้ว่า จากแต่เดิมที่ชุมชนบ้านไร่มีเพียงชาวญัฮกุรที่มาบุกเบิกพื้นที่เพื่ออยู่อาศัยและทำการเกษตร ทว่าราว ๆ ทศวรรษ 2520 ทิศทางเศรษฐกิจไทยได้เปลี่ยนการลงทุนจากภาคเกษตรกรรมมาสู่ภาคอุตสาหกรรมอย่างเต็มตัว ก็ทำให้เริ่มมีผู้คนจากภายนอกเข้ามาอยู่อาศัยในชุมชนมากขึ้น เช่น ชาวไทยอีสานที่เข้ามาบุกเบิกหรือจับจองพื้นที่บ้านไร่ พร้อมกับเข้ามาปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น หัวมัน ข้าวโพด และมันสำปะหลัง แน่นอนว่า การเข้ามาของชาวไทยอีสานนำมาซึ่งการมีปฏิสัมพันธ์ข้ามวัฒนธรรมกับชาวญัฮกุร เห็นได้จากการแต่งงานกับชาวญัฮกุร หรือการที่ชาวญัฮกุรพูดภาษาอีสาน เป็นต้น 

ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจในชุมขน ชาวญัฮกุรก็ได้บุกเบิกพื้นที่เพิ่มเติมเพื่อเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อตอบสนองการค้าแบบตลาดเช่นเดียวกัน รวมถึงบางคนก็เริ่มออกไปทำงานนอกชุมชนมากขึ้น เช่น ไปตัดอ้อยที่กาญจนบุรี ไปทำงานที่กรุงเทพฯ หรือไปเป็นแรงงานที่ต่างประเทศ ผลที่ตามมาก็คือ ภาษาญัฮกุรไม่สามารถใช้สื่อสารกับคนภายนอกได้ (พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ และคณะ, 2557, น. 83) ทำให้ภาษาญัฮกุรจึงถูกแทนที่ด้วยภาษามาตรฐานของรัฐไทยหรือเรียนรู้ที่จะพูดภาษาไทย ในแง่นี้ โรงเรียนบ้านไร่พัฒนา ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2511 ก็มีบทบาทอย่างมากต่อการส่งเสริมให้ชาวญัฮกุรพูดภาษาไทย ผ่านการเรียนการสอนที่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาหลัก จึงไม่แปลกนักที่ชาวญัฮกุรจะละทิ้งภาษาของตัวเองเพื่อแสวงหาโอกาสที่มากับภาษาอื่น ๆ 


บทบาทของกลุ่มเยาวชนต่อการรื้อฟื้นและธำรงอัตลักษณ์ญัฮกุรในชุมชนบ้านไร่ 

จากการสัมภาษณ์คุณเฉลิมชาติ ยันจัตุรัส หรือ “จิต” หัวหน้ากลุ่มเยาวชน รุ่นที่ 1 ได้เล่าว่า ตนนั้นได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการรื้อฟื้นและธำรงอัตลักษณ์ญัฮกุรไปพร้อม ๆ กับการเข้ามาของสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดลในช่วงทศวรรษ 2540 ซึ่งในขณะนั้น “จิต” ในฐานะเยาวชนที่มีเชื้อสายญัฮกุรโดยตรง ก็ได้ถูกคัดเลือกเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการทำงานของสถาบันวิจัยข้างต้นด้วย 

“จิต” เล่าต่อว่า เมื่อสมัยตนเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 (พ.ศ. 2551) ตนก็ได้รวมตัวกับกลุ่มเพื่อนที่เป็น “พวกดง” (จิตเรียก) หรือกลุ่มเพื่อนที่มีเชื้อสายญัฮกุร ให้มารวมตัวกันและจัดตั้งกลุ่มเยาวชนในโรงเรียนขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์รวมเพื่อน ๆ ชาติพันธุ์เดียวกัน และคนที่มีอุดมการณ์อยากสืบสานวัฒนธรรมประเพณีญัฮกุร โดยกิจกรรมที่ทำร่วมกันก็คือ การเข้าร่วมงานประเพณีประจำปี เช่น การมีส่วนร่วมในงานบุญแห่หอดอกผึ้งที่ทำเป็นประจำทุกช่วงสงกรานต์ หรือการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับกลุ่มญัฮกุรที่เป็นผู้ใหญ่ (กลุ่มยอง) ในการฟ้อนรำตามพิธีกรรมสำคัญ ซึ่งจิตได้ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจว่า ภายหลังที่ตนและเพื่อน ๆ ตั้งกลุ่มเยาวชนในโรงเรียน เพื่อน ๆ ชาวญัฮกุรก็เริ่มกล้าแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ของตัวเองมากขึ้น หลังจากถูกหยอกล้อมานาน

ในปัจจุบัน กลุ่มเยาวชนได้ขยับขยายพื้นที่กิจกรรมออกมานอกรั้วโรงเรียนมากขึ้น อันเป็นผลมาจากการสนับสนุนของ “กลุ่มยอง” หรือกลุ่มผู้ใหญ่ในชุมชน ที่ได้เข้ามาสนับสนุนแรงกายเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเยาวชน และทำให้กลุ่มเยาวชนมีกิจกรรมเชิงอนุรักษณ์ที่สร้างสรรค์มากขึ้น เช่น กิจกรรมปลูกผักสมุนไพรตามภูมิปัญญาญัฮกุร กิจกรรมทำเสื้อผ้าชาติพันธุ์และกระเป๋า รวมถึงกลุ่มเยาวชนยังได้ผลิตสื่อสร้างสรรค์จากทุนทางวัฒนธรรมที่ตนเองมี เช่น การบันทึกภาพและเสียงของคนในชุมชนที่กำลังสื่อสารด้วยภาษาญัฮกุรอยู่ หรือการโพสต์สินค้าชุมชนลงแอปพลิเคชัน Tiktok 

“มอญโบราณ” ที่(เพิ่ง)รู้สึก

“ญัฮกุร...กลุ่มที่สืบเชื้อสายมอญโบราณสมัยทวารวดีมากกว่า 2,000  ปี”

ในปัจจุบัน คำว่า “มอญโบราณ” เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้กับชาวญัฮกุรอย่างซ้ำ ๆ เพื่อการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เห็นได้จากข้อความข้างต้นที่มาจากเว็บไซต์ขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านไร่ (ม.ป.ป) หรือเห็นได้จากคำโปรย ชื่อบทความ หรือพาดหัวข่าวต่าง ๆ เช่น “...สัมผัสวิถีญัฮกุร หมู่บ้านมอญโบราณ...” (Thai PBS, 2561) แต่ทว่า “ญัฮกุร” และ “มอญโบราณ” เป็นเพียงความสัมพันธุ์กันในทางภาษาศาสตร์เท่านั้น ฉะนั้น การจะบอกว่าญัฮกุรเป็นลูกหลานชาวทวารวดี จึงเป็นจินตนาการที่ไกลไปจากหลักฐานและงานศึกษาที่มี  

“มอญโบราณ” จึงได้กลายเป็นอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ใหม่ให้กับชาวญัฮกุร เห็นได้จากการที่คนภายนอกเรียกพวกเขาหรือบ้างพวกเขาก็แทนตัวเองว่า “มอญโบราณ” อยู่บ้าง ซึ่งดูจะไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า พวกเขาเป็น “มอญโบราณ” โดยคนอื่น และเป็น “มอญโบราณ” ที่เพิ่งรู้สึก มิใช่สำนึกแห่งตัวตน 

โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย. (2561). ชนเผ่าพื้นเมือง ญัฮกุร. สืบค้นจาก https://iwgia.org/

เฉลิมชาติ ยันจตุรัส. หัวหน้ากลุ่มเยาวชนรุ่นที่ 1. (วันที่ 22 เมษายน 2566). สัมภาษณ์. (ร่วมสัมภาษณ์กับวรินธร อุ้มนุช และ ฐิติวัชร์ ยุทธวิสุทธิ์)

ธิดา สาระยา. (2538). (ศรี) ทวารวดีประวัติศาสตร์ยุคต้นของสยามประเทศ. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ.

พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ และคณะ. (2557). จาก “มะนิ่ฮ ญัฮกุร” (ชาวญัฮกุร) สู่การเป็นมอญทวารวดี และ กระบวนการคืนความรู้สู่ชุมชนบ้านไร่. วารสารอายธรรมศึกษา โขง-สาละวิน, 5(1), 76-87.

พิพัฒน์ กระแจะจันทร์. (2559). โบราณคดีและชาติพันธุ์ในเขตหมู่บ้านชาวญัฮกุรที่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ. ดำรงวิชาการ, 15(1), 11-39.

องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านไร่. (ม.ป.ป). สภาพสังคม. สืบค้นจาก http://www.tambonbanrai.go.th/

อภิญญา บัวสรวง และ สุวิไล เปรมศรีรัตน์. (2541). สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ญัฮกุ้ร. กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล. 

Thai PBS. (22 ตุลาคม 2561). นารีกระจ่าง : สัมผัสวิถีญัฮกุร หมู่บ้านมอญโบราณ, การละเล่นพื้นบ้าน ชาวญัฮกุร [วิดีโอ]. ยูทูบ. https://www.youtube.com/

Diffloth, G. (1984). The Dvaravati Old Mon Language and Nyah Kur. Bangkok: Chulalongkorn University Print. 

Seidenfaden, E. (1918). Some Notes about the Chaubun; a Disappearing Tribe in the Korat Province. Journal of the Siam Society, 12, 1-11.

Seidenfaden, E. (1919). Further Notes about the Chaubun, etc. Journal of the Siam Society, 13, 47-53.