บ้านคำชะอี เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์การอพยพเข้ามาอยู่อาศัยของชาวผู้ไทดำเป็นเวลากว่า 100 ปี ชาวบ้านในชุมชนยังคงสืบทอดรักษาคติความเชื่อ วัฒนธรรม และประเพณีที่ได้รับมาจากบรรพบุรุษ มีการผสมผสานระหว่างหลักธรรมในศาสนาพุทธกับความเชื่อเรื่องผีดั้งเดิม อันถือเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวผู้ไท
ปรากฏคำบอกเล่าสืบต่อกันมาถึงที่มาของชื่อหมู่บ้านคำชะอี 2 ประการ
ประการแรก คือ ในหนองน้ำทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านจะมีแมลงชนิดหนึ่งคล้ายจักจั่น ชาวบ้านเรียกว่า “แมงอี” ต่อมาจึงเรียกเป็นชื่อหมู่บ้าน “คำแมงอี” แล้วเพี้ยนมาเป็น “คำชะอี” ในเวลาต่อมา
ประการที่สอง สืบเนื่องจากคำชะอีเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ ในพื้นที่มีต้นไม้ชนิดหนึ่งชื่อ “ต้นคำชะอี” มีดอกสีเหลืองส่งกลิ่นหอม ซึ่งชาวบ้านนิยมนำไปอบเสื้อผ้า แต่ปัจจุบันสูญพันธุ์ไปแล้ว ต่อมาจึงได้เรียกชื่อหมู่บ้านตามชื่อดอกไม้ว่า “บ้านคำชะอี”
บ้านคำชะอี เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์การอพยพเข้ามาอยู่อาศัยของชาวผู้ไทดำเป็นเวลากว่า 100 ปี ชาวบ้านในชุมชนยังคงสืบทอดรักษาคติความเชื่อ วัฒนธรรม และประเพณีที่ได้รับมาจากบรรพบุรุษ มีการผสมผสานระหว่างหลักธรรมในศาสนาพุทธกับความเชื่อเรื่องผีดั้งเดิม อันถือเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวผู้ไท
บ้านคำชะอี เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์การอพยพเข้ามาอยู่อาศัยของชาวผู้ไทจากเมืองแถน หรือเมืองแถง (เมืองเดียนเบียนฟู ประเทศเวียดนาม) และเมืองน้ำน้อยอ้อยหนู ในแคว้นสิบสองจุไทย การอพยพของบรรพบุรุษชาวผู้ไทสู่บ้านคำชะอีนั้น เริ่มขึ้นเมื่อครั้งเหตุการณ์เจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์เป็นกบฏต่อราชอาณาจักรสยาม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกกองทัพขึ้นไปปราบปราม ภายหลังปราบปรามเจ้าอนุวงศ์สำเร็จ ได้มีการกวาดต้อนผู้คนเข้ามาอยู่บริเวณฝั่งขวาแม่แม่น้ำโขง โดยมีจุดประสงค์เพื่อต้องการลดกำลังพลฝั่งเวียงจันทน์ ซึ่งในขณะนั้นมีชาวผู้ไทจากเมืองวังและเมืองคำอ้อกลุ่มหนึ่งในบรรดาผู้ไทที่ถูกกวาดต้อนมา ได้ขอเข้าอยู่กับพระจันทรสุริยวงศ์ เจ้าเมืองมุกดาหาร แต่อยู่ได้เพียงระยะหนึ่งก็อพยพยย้ายออกมาทางทิศตะวันตกของเมืองมุกดาหารเพื่อแสวงหาที่อยู่อาศัยและที่ทำกินแห่งใหม่ แต่พื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่หินลูกรังไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก จึงย้ายลงมาทางทิศใต้ซึ่งมีสายน้ำรอบบริเวณ มีความชุ่มชื้นเหมาะแก่การเพาะปลูก จึงได้ตัดสินใจปักหลักอยู่ในบริเวณนี้เพื่อสำรวจพื้นที่ทำกินแล้วจับจองเอาตามใจชอบ เมื่อพื้นที่ถูกขยับขยายออกไปเรื่อย ๆ จำนวนคนก็เพิ่มมากขึ้นกลายเป็นชุมชนขนาดย่อมกระจายกันอยู่ เช่น บ้านโพนแดง บ้านหนองไหล บ้านฝากห้วย บ้านตาดโตน และบ้านคำชะอี ซึ่งในเวลาต่อมาบ้านโพนแดง บ้านหนองไหล บ้านฟากห้วย และบ้านตาดโตน กลายเป็นหมู่บ้านร้าง เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ยพอพย้ายไปอยู่ที่บ้านคำชะอี และกระจายตัวกันออกไปอยู่ถิ่นอื่น
ในการจัดการปกครองบ้านคำชะอีแต่ละหมู่ถูกแบ่งออกเป็นคุ้ม ดังนี้
หมู่ที่ 1 แบ่งออกเป็น 4 คุ้ม คือ
1.คุ้มพิทักษ์ชน
2.คุ้มเข้าเมืองขวา
3.คุ้มโรงเรียน
4.คุ้มเมืองเก่า
หมู่ที่ 2 แบ่งออกเป็น 6 คุ้ม คือ
1.คุ้มขุนนิคม
2.คุ้มเจ้ากรมแสง
3.คุ้มในเมือง
4.คุ้มเจ้าไชยอภิเดช
5.คุ้มวิวัฒนากรา
6.คุ้มทุ่งสว่าง
หมู่ที่ 11 แบ่งออกเป็น 5 คุ้ม คือ
1.คุ้มอนามัย
2.คุ้มหมื่นบรครุฑ
3.คุ้มเจ้าปู่
4.คุ้มเกาะสวรรค์
5.คุ้มประปา
หมู่บ้านคำชะอี แบ่งออกเป็น 3 หมู่บ้าน คือ หมู่ที่ 1, 4 และหมู่ที่ 11 มีจำนวนหลังคาเรือน 401 หลังคา ประชากรทั้งหมด 2,128 คน เป็นชาย 1,050 คน หญิง 1,078 คน
ผู้ไทอาชีพหลัก : เกษตรกรรมทำนา ทำสวน ทำไร่
อาชีพเสริม : รับจ้างทั่วไป การประมง ปศุสัตว์ เช่น การเลี้ยงไก่ เป็ด สุกร กระบือ
การแลกเปลี่ยนภายในชุมชน : เป็นการซื้อขายสินค้าอุปโภค บริโภค และของใช้ในชีวิตประจำวัน ในร้านขายของชำประจำหมู่บ้าน มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าผลผลิตทางการเกษตร เช่น พริก มะเขือ ฯลฯ
การแลกเปลี่ยนกับนอกชุมชน : ส่วนใหญ่จะเป็นการนำผลผลิตทางการเกษตร พืชผักสวนครัวออกไปจำหน่ายต่างชุมชน หรือตลาดสดในตัวอำเภอ
ชาวผู้ไทบ้านคำชะอี เป็นชุมชนที่มีการผสมผสานระหว่างหลักธรรมในศาสนาพุทธกับความเชื่อเรื่องผีดั้งเดิมของชาวผู้ไท ยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีตามแบบชาวอีสาน โดยการปฏิบัติตามประเพณีฮีตสิบสองคองสิบสี่ ซึ่งเป็นประเพณีที่ชาวคำชะอีได้มีโอกาสมาร่วมทำบุญ พบปะสังสรรค์เป็นประจำทุกเดือน ประเพณีฮีตสิบสองหรือประเพณีสิบสองเดือนของชาวกะเหรี่ยงบ้านคำชะอี มีดังนี้
- เดือนอ้าย เลี้ยงผีมด หรือผีหมอ ผีฟ้า ผีแถน พระสงฆ์ทุกวัดเข้าปริวาสกรรม
- เดือนยี่ บุญคูณข้าว เป็นการทำบุญเปิดยุ้งข้าว มีการเลี้ยงแม่โพสพเพื่อตอบแทนที่ทำให้ข้าวได้ผลผลิตดี
- เดือนสาม บุญข้าวจี่ ชาวบ้านจะนำข้าวจี่ชุบไข่ใส่น้ำอ้อยมาถวายพระ เพื่อถือเป็นการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว และบรรดาผีไร้ญาติทั้งหลาย
- เดือนสี่ บุญมหาชาติ เป็นประเพณีสุดยิ่งใหญ่ของชาวผู้ไทซึ่งใช้ระยะเวลาถึง 3 วัน วันแรกเป็นการเตรียมการ ผู้ชายจะช่วยกันสานไม้ไผ่เพื่อนำมาเป็นเรือนพะเวส หรือกระแตะ และช่วยกันมัดฟางข้าวให้เป็นนก หนู ไก่ และปลา วันที่สองสร้างหออุปคุต แล้วนำกระแตะที่สานไว้มากั้นทำเป็นบริเวณทำพิธีเทศน์มหาชาติ ช่วงบ่ายจะมีการยกเสาพะเวส โดยจะนำข้าวต้มมัด กล้วย ผูกติดกับเสาไม้ไผ่ที่ลานวัด แล้วพรมน้ำหอม ผูกผ้าผืนยาว เรียกว่า ผ้าพะเวส แล้วเชิญพะเวสเข้ามาในหมู่บ้าน ในวันที่สามจะมีการแห่ข้าวพันก้อน ร่วมรับฟังเทศน์มหาชาติ มีการแห่กัณฑ์หลอนและกัณฑ์เทศน์อัศจรรย์ เช้าวันต่อมามีการทำบุญตักบาตรเป็นอันเสร็จสิ้นพิธี
- เดือนห้า บุญสงกรานต์ เป็นประเพณีที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน มีการสรงน้ำพระพุทธรูปและผู้อาวุโสในครอบครัว ก่อพระเจดีย์ทราย ร่วมเล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน และในวันสุดท้ายจะมีการสรงน้ำพระโดยการเทน้ำลงในรางที่ทำเป็นรูปทรงพญานาค
- เดือนเจ็ด ตามปฏิทินของชาวผู้ไทเดือนนี้ไม่มีการประกอบประเพณีใด ๆ เว้นแต่การขอฝนที่จะกระทำเฉพาะปีที่ฝนแล้งเท่านั้น
- เดือนแปด บุญเข้าพรรษา จะมีการฟังเทศน์ทุกวันในช่วงเย็น
- เดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน เป็นประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณบรรพบุรุษผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว โดยจะทำภายหลังฤดูกาลดำนา
- เดือนสิบ บุญข้าวสาก หรือบุญข้าวสลาก เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติพี่น้องผู้ล่วงลับ โดยการนำกระบุงใส่ข้าวสากไปถวายพระสงฆ์ แต่ปัจจุบันชาวผู้ไทบ้านคำชะอีไม่ค่อยทำแล้ว
- เดือนสิบเอ็ด บุญออกพรรษาเป็นวันที่พระออกจากการจำพรรษา ตามประเพณีของชาวผู้ไทจะจัดงานถึง 3 วัน วันแรกห่อข้าวต้มมัด วันที่สองแห่ต้นไม้ที่สร้างขึ้นให้เป็นที่อยู่หรือปราสาททองของผู้ล่วงลับ มีการทำบุญอัฐิ และจุดประทัดเพื่อปลุกดวงวิญญาณของผู้ตายให้รู้สึกตัวมารับเอาผลบุญ และในเช้าวันที่สามจะมีการทำบุญตักบาตเป็นอันเสร็จสิ้นพิธี
- เดือนสิบสอง บุญลอยกระทง ถือเป็นบุญรื่นเริงที่มีวัตถุประสงค์เพื่อชำระล้างบาปที่ได้กระทำมาตลอดหนึ่งปี
ความเชื่อ และพิธีกรรม
ชาวผู้ไทบ้านคำชะอีได้สืบทอดรักษาคติความเชื่อที่ได้รับมาจากบรรพบุรุษ โดยความเชื่อ และพิธีกรรมท้องถิ่นในหมู่บ้านคำชะอี มีดังนี้
- การเสี่ยงทาย ภาษาถิ่นเรียกว่า “หมอมอ” คือการเสี่ยงทายตามหาสิ่งของที่หายไป การทำนายถึงโชคชะตาราศีประจำปี ฤกษ์ยาม และการเสี่ยงทายเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ทั่วไปที่มีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต
- การเสียเคราะห์ หรือการสะเดาะเคราะห์ เป็นการสะเดาะเคราะห์ในกรณีที่เชื่อว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับตนเองหรือคนรอบตัว
- การบูชาโชค เช่น การได้รับเลือกเข้าทำงาน โดยจะมีหมอสูตรหรือพระเป็นผู้สูตร (สูตร หมายถึง การสู่ขวัญ)
- ความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณ ชาวผู้ไทมีความเชื่อว่าอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัว เป็นผลจากการกระทำของผี เนื่องจากผู้ป่วยไปสร้างความไม่พอใจแก่ผี ต้องทำการแก้ด้วย “พิธีกรรมเหยา” มีหมอเหยามาร้องลำอ้อนวอนประกอบแคนเพื่อเจรจากับผีให้ผู้ป่วยหายจากอาการเจ็บไข้ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษ ผีเจ้าที่ ผีปอบ คาถาอาคม และไสยศาสตร์
- หมอพื้นบ้าน เช่น หมอน้ำมัน รักษากระดูก บาดแผล เป่าตาแดง ฯลฯ
- พิธีเลี้ยงผี เป็นพิธีกรรมการบูชาผีบรรพบุรุษ คือ “เจ้าพ่อทาตา” โดยจะจัดขึ้นสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปีบริเวณศาลเจ้าพ่อดานดึง
- พิธีแต่งงาน หรือปะซู การแต่งงานของชาวผู้ไทจะต้องมี “พ่อล่าม” ทำหน้าที่สั่งสอนบอกกล่าววิธีการครองเรือนแก่คู่บ่าวสาว
- ลำผญาผู้ไท เป็นหมอลำท้องถิ่นของชาวผู้ไทในลักษณะการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาว เนื้อหาของผญาเกี่ยวข้องกับคติ คำสอน ภาษิต วิถีชีวิต การครองเรือน ในอดีตลำผญาเป็นที่นิยมอย่างมากในงานบุญประเพณีต่าง ๆ แต่ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมเทียบเท่าอดีตแล้ว
- คะลำ เป็นข้อห้ามเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต เช่น หญิงตั้งครรภ์ห้ามกินเนื้อควายเผือก (ควายด่อน) ห้ามสีข้าวในคืนเดือนดับ ห้ามนอนหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก เป็นต้น
ลักษณะการสร้างที่อยู่อาศัย
ในอดีตชาวผู้ไทบ้านคำชะอีนิยมสร้างบ้านยกพื้นสูง มุงหลังคาด้วยหญ้าแฝก ฝาเรือนใช้ไม้ไผ่สานขัด พื้นเรือนปูด้วยฟาก หรือกระดาน เสาเรือนนิยมใช้ไม้แก่น แต่ปัจจุบันชาวบ้านเปลี่ยนรูปแบบการสร้างบ้านใหม่ตามแบบสมันิยม คือ ใช้อิฐและปูนเป็นส่วนประกอบหลักในการสร้างเรือน
ภาษาพูด : ภาษาผู้ไท (ใช้ในชีวิตประจำวัน) ภาษาไทยกลาง (ภาษาราชการ)
ภาษาเขียน : ภาษาไทยกลาง
วิษณุ กาปรสิริพัฒน์. (2541). ภูมิปัญญาอีสานในพิธีกรรมด้านความเชื่อเพื่อการรักษาพยาบาลผ่านทางภาษาของชาวผู้ไท (รายงานการวิจัย). สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ.