ป่าชุมชน ทรัพยากรท้องถิ่น และการทำเกษตรแบบหมุนเวียน
เหตุที่ชื่อว่าบ้านต๋อมดงคงจะมาจากภูมิประเทศ แต่ก่อนบริเวณนี้มีแต่ป่าดงไพร เต็มไปด้วยป่าไม้ตะเคียนและไม้อื่นๆ พื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ราบลุ่ม เหมาะแก่การเพาะปลูก ประชาชนในจึงได้เข้ามาจับจองเป็นที่ทำมาหากินในป่าในดง เรียกว่า มีคนมาชุมกันยอะ คำว่า "ชุม" ภาษาพื้นเมืองเหนือเรียกว่า "ต๋อม" มาชุมนุมทำมาหากินในป่าในดง จึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า "ต๋อมดง"
ป่าชุมชน ทรัพยากรท้องถิ่น และการทำเกษตรแบบหมุนเวียน
ประมาณ พ.ศ. 2385 ได้มีประชาชน 6-7 ครอบครัวซึ่งได้ย้ายมาจากบ้านต่อมกลางอยู่ทางทิศตะวันออกประมาณ 1 กิโลเมตร นำโดยปูแสนธิ ปู่แสนต๊ะ ท้าวเกตุ ท้าวชิ และปู่คำหงอก เป็นหัวหน้าได้เข้ามาตั้งรกรากทำมาหากินอยู่ในที่นี้ จากนั้นก็ได้มีประชาชนซึ่งมาจากจังหวัดลำปางและที่อื่น ๆ ก็ได้เข้ามาจับจองที่ทำมาหากินอยู่เรื่อย ๆ จนมีหลายครอบครัวขึ้น ก็ตั้งเป็นหมู่บ้าน เรียกว่าบ้านต๋อมดง เหตุที่ชื่อว่าบ้านต๋อมดงคงจะมาจากภูมิประเทศ แต่ก่อนบริเวณนี้มีแต่ป่าดงไพร เต็มไปด้วยป่าไม้ตะเคียนและไม่อื่น ๆ พื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ราบลุ่มเหมาะแก่การเพาะปลูก ประชาชนในที่ทั่วไปจึงได้เข้ามาจับจองเป็นที่ทำมาหากินในป่าในดง เรียกว่า มีคนมาชุมนุมกันเยอะ คำว่า "ชุม" ภาษาพื้นเมืองเหนือว่า"ต๋อม" มาชุมนุมทำมาหากินในป่าในดงจึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า "ต๋อมดง"
พ.ศ. 2390 พอตั้งหมู่บ้านได้ 5 ปี ก็สร้างวัดขึ้น มาเป็นศูนย์ของชาวบ้านเมื่อสร้างขึ้นมาแล้วก็ช่วยกันบำรุงรักษา ส่งลูกหลานของตนเข้ามาบวชเรียนเขียนอ่านกันอยู่เรื่อย ๆ
พ.ศ. 2485-2487 ในหมู่บ้านเกิดโรคเกิดขึ้นขึ้น ได้แก่ โรคฝีดาษ มีคนตายหลายคน เมื่อตายก็รีบนำศพไปฝัง คนป่วยต้องนอนบนใบตอง มีหมอพื้นบ้านต้มยาให้กิน สมัยนั้นเวลามีหญิงคลอดก็จะมีหมอตำแยต่อมา เรียกว่า "แม่รับ" มาช่วยทำคลอด ชาวบ้านเล่าว่าบ้างก็คลอดง่าย คลอดยาก ถ้าเชิงกรานเป็นแบบตั้งหม้อลักษณะกลมก็จะคลอดยากเนื่องจากติดกระดูกเชิงกราน และทำให้แม่และเด็กเสียชีวิตได้ แม่รับจึงมีหน้าที่ทำพิธีทางไสยศาสตร์ก่อนคลอดและทำคลอด เพื่อให้แม่และครอบครัวอุ่นใจ แต่เดิมที่ชาวบ้านได้ทำการปรงศพที่ป่าสุสาน แม่และเด็กที่เสียชีวิตขณะคลอด เรียกว่า "ตายพราย" ต้องฝังไว้แล้วสามีจะต้องมาดูฝังศพจนกว่าจะครบการอยู่เดือน
พ.ศ. 2498 ในหมู่บ้านเกิดโรคระบาดโรคฝีดาษขึ้น มีคนตายหลายคนคนที่มีตุ่มหนองขึ้นตามตัวเมื่อตายก็รีบนำศพไปฝังเพราะกลัวจะแพร่ระบาด คนป่วยต้องนอนบนใบตอง มีหมอพื้นบ้านต้มยากิน สมัยนั้นเวลามีหญิงคลอดก็จะมีหมอตำแยเรียกว่า "แม่รับ" มาช่วยทำคลอด ชาวบ้านเล่าว่าข้างก็คลอดง่าย คลอดยาก ถ้าเชิงกรานเป็นแบบตั้งหม้อลักษณะกลมก็จะคลอดยากเนื่องจากติดกระดูกเชิงกราน ถ้าเป็นแบบงาไซจะคลอดง่ายเพราะไม่ติดกระดูกเชิงกราน
พ.ศ. 2500 เปลี่ยนมาเผา เนื่องจากว่าพื้นที่ในป่าสุสานไม่เพียงพอ จึงเริ่มจากการก่อฟืนเป็นแท่นเผาศพแทนการฝัง
พ.ศ. 2502 เริ่มมีถนนเส้นทางในหมู่บ้านเป็นถนนลูกรัง การเดินทางการเดินและไปขึ้นรถเมล์ที่ถนนเส้นหลัก หากจะเดินทางไปโรงพยาบาลก็จะไปข้ามสะพานขุนเดช
พ.ศ. 2504 มีพ่อหมอประจำตำบลเรียกว่าหมอวงศ์ จะทำการรักษาชาวบ้านที่เจ็บป่วยโดยการทำยาต้มสมุนไพรหญิงที่คลอดก็จะนิยมไปคลอดที่โรงพยาบาลมากขึ้น เพราะมีฐานะดีขึ้น
พ.ศ. 2505 เดิมเป็นหมู่บ้านที่อยู่รวมกันหมู่ที่ 5 บ้านต๋อมดง และได้แยกออกเป็นหมู่บ้านหมู่ที่ 6 และหมู่ 7
พ.ศ. 2507 จึงมีวิถีชีวิตความเชื่อมโยงสายเครือญาติกับหมู่บ้านหมู่ 5 ต.บ้านต๋อม มีพ่อหลวงแต่ละหมู่บ้าน มีจุดศูนย์รวมที่วัดเดียวกัน มีการร่วมประชุม ร่วมคิด ร่วมพิจารณา ร่วมตัดสินใจ ร่วมกันทำงาน ต่อมาได้เกิดโรงเรียนขึ้นในหมู่บ้านชื่อโรงเรียนบ้านต๋อมดง มีครูบุญตันเป็นครูใหญ่
พ.ศ. 2508 หลังจากนั้นได้เกิดศูนย์มาลาเรียแม่ต่ำ ส่งอาสาสมัครเข้ามาในหมู่บ้านละ 1 คน มาเก็บข้อมูล ฉีดยาให้ชาวบ้านที่เป็นไข้ เรียกว่า "ไข้ป่า"
พ.ศ. 2515-2519 ได้มีการย้ายโรงเรียนบ้านต๋อมดง ไปที่บ้านหมู่ที่ 7 แรกเริ่มเดิมทีจะมีการตั้งโรงเรียนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต่อมาเปลี่ยนมาตั้งที่บริเวณศาลเจ้าพ่อโสโย เริ่มมีการเดินทางโดยรถยนต์ทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น
พ.ศ. 2520 มีการสร้างอ่างเก็บน้ำเกิดขึ้น เนื่องจากเมื่อก่อนเคยมีน้ำท่วม ไม่ได้เกิดความเสียหายแก่บ้านเรือนแต่เกิดความเสียหายต่อนาของเกษตรกรเล็กน้อย แต่หลังจากสร้างอ่างเก็บน้ำก็ไม่เกิดปัญหาน้ำท่วมอีกเลย
พ.ศ. 2525-2529 การเดินทางเริ่มมีการใช้รถมอเตอร์ไชต์ (2525) มีการตั้งกลุ่มธนาคารข้าวเพื่อร่วมกันขายข้าวนัด เอาข้าวมารวมกันวันที่ 1 มกราคม 2526 พูดคุยกันเห็นว่าคนในหมู่บ้านจำนวนมากที่มีข้าวไม่พอกินตลอดปี จึงน่าจะมีการช่วยเหลือกันในหมู่บ้าน ให้ชาวบ้านกู้ยืมไปกินแทนในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยรณรงค์ชาวบ้านทุกคนเข้าร่วม และเปลี่ยนมาเป็นธนาคารข้าว มีการตั้งกรรมการการรับ-จ่ายข้าว
พ.ศ. 2527 จากนั้นมีไฟฟ้าเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านมีไฟฟ้าใช้ มีการเปิดไฟครั้งแรกในวันที่ 2 พ.ค.จากที่เมื่อก่อนใช้ตะเกียงและฟื้นก่อไฟ เริ่มมีถนนลาดยาง (2529)
พ.ศ. 2530-2534 มีน้ำประปา ชุดบ่อบาดาลใช้ มีการแต่งตั้ง อสม. เข้ามาทำงานด้านสุขภาพมีคณะกรรมการหมู่บ้าน 7 ฝ่าย หอกระจายข่าวมีการตีฆ้องเป็นจังหวะในการแจ้งข่าว มีกลุ่มกรรมการพัฒนาหมู่บ้าน หมู่ละ 2 คน และก่อตั้งคุ้ม (เขตพัฒนา) มีหัวหน้าและรองหัวหน้าคุ้ม และมีคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นที่ปรึกษาและในปี 2534 มีโรคเอดส์ระบาดในหมู่บ้าน คนป่วยต้องไปรักษาตามอาการที่โรงพยาบาล
พ.ศ. 2559 มีภัยแล้งเกิดขึ้น เนื่องจากมีการขาดน้ำอย่างหนักในหมู่บ้าน แต่ทางเทศบาลก็มีการนำน้ำมาแจกจ่ายให้เป็นระยะ ๆ
บ้านต๋อมดง หมู่ที่7 ห่างจากที่ว่าการอำเภอเมืองพะเยาไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ตามถนนพลโยธินประมาณ 1 กิโลเมตรและแยกจากถนนพหลโยธินเข้ามาทางสะพานขุนเดชประมาณ 2 กิโลเมตร ถึงสี่แยกวัดต๋อมกลาง ตรงเข้ามาอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตรหมู่บ้านต๋อมดง ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ต่อจากหมู่บ้านต๋อมดง หมู่ที่ 6 โดยแบ่งแยกจากหมู่ 6 ที่วัดต๋อมดง มีระยะทางห่างจากตัวเมืองพะเยาประมาณ 4.5 กิโลเมตร มีพื้นที่ แบ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัย จำนวน 190 ไร่ พื้นที่ทำการเกษตร จำนวน 921 ไร่ พื้นที่ทำนา จำนวน 637 ไร่ พื้นที่ทำไร่ จำนวน 230 ไร่ พื้นที่ทำสวน จำนวน 50 ไร่ พื้นที่ทำการเกษตรอื่น ๆ จำนวน 4 ไร่ ป่าชุมชน ป่าชุมชนบ้านต๋อมดง จำนวน 715 ไร่
อาณาเขตติดต่อ
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านห้วยทรายคำ หมู่ 8 ตำบลบ้านต๋อม อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา
- ทิศใต้ ติดต่อกับ ทุ่งนา และหมู่ 1 ตำบลสันป่าม่วง อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านต๋อมดง หมู่ 6 ตำบลบ้านต๋อม อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ แนวเขาดอยหลวง และหมู่ 7 ตำบลสันป่าม่วง อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา
ลักษณะภูมิประเทศ
ลักษณะทางภูมิศาสตร์โดยทั่วไปของหมู่บ้านต๋อมดง หมู่ที่ 7 ตำบลบ้านต๋อม อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา เป็นที่ราบ มีภูเขา และมีแม่น้ำต่อมซึ่งตันน้ำมาจากภูเขาด้านตะวันตกไหลผ่านหมู่บ้าน สภาพทั่วไปจึงเหมาะแก่การเกษตร มีพื้นที่สาธารณะ คือ ศาลาอเนกประสงค์ 1 แห่ง ธนาคารข้าว 1 แห่ง โรงสีข้าวชุมชน 1 แห่ง ศาลาภายในหมู่บ้าน 3 แห่ง โทรศัพท์สาธารณะที่ใช้ร่วมกัน 1 แห่ง หอกระจายข่าว 1 แห่ง และที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าน 1 แห่ง
ภายในหมู่บ้านมีการแบ่งเป็นซอยคือซอย 1-10 แต่ละซอยเป็นถนนคอนกรีตมีไฟข้างทาง (ไฟกิ่ง) ภายในหมู่บ้านเวลากลางคืนมีแสงสว่างไม่เพียงพอในบางพื้นที่ ทุกครัวเรือนมีไฟฟ้าใช้ มีน้ำประปาในการอุปโภค น้ำบริโภคส่วนใหญ่ซื้อน้ำดื่มสำเร็จรูป บางหลังคาเรือนนั้นก็ยังบริโภคน้ำประปา น้ำบ่อ และน้ำฝน และมีวัดต๋อมดงที่เป็นศูนย์กลางร่วมกับหมู่ที่ 5 และหมู่ที่ 6 ที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของประชาชน
ส่วนใหญ่ภายในชุมชนจะมีผู้สูงอายุอยู่ดูแลบ้านเรือน วัยทำงานจะออกไปทำงานต่างจังหวัดและจะกลับมาบ้านในโอกาสสำคัญหรือเทศกาลต่าง ๆ บางส่วนหลังคาเรือนก็จะปล่อยทิ้งไว้ขณะออกไปทำงานต่างจังหวัดโดยไม่มีคนอาศัยและให้ญาติพี่น้องเป็นคนดูแลบ้านเรือนให้ (ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ประชากรหมู่บ้านของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีพะเยา) มีลักษณะทางนิเวศน์ที่สมดุลเนื่องจากมีการอนุรักษ์แหล่งธรรมชาติมีการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ มีการทำการเกษตรแบบหมุนเวียน เพื่อรักษาหน้าดิน ซึ่งประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพด้านการเกษตรกรรมคือการทำนา ทำสวนยางพารา ทำสวนหอมแดงกระเทียม ทำสวนข้าวโพด ทำสวนผลไม้ ทำสวนมันสำปะหลัง นอกจากนั้นยังปลูกถั่วลิสง เป็นพืชหมุนเวียนในการรักษาหน้าดิน โดยใช้แหล่งน้ำจากแม่น้ำต่อมที่ไหลผ่านหมู่บ้าน อาชีพเสริมก็จะทำจักสานผักตบชวา
การตั้งบ้านเรือนเป็นลักษณะเครือญาติจะตั้งบ้านเรือนใกล้กันหรืออยู่ภายในคุ้มเดียวกันมีรั้วกั้นเพื่อแสดงขอบเขตแนวของที่ดิน โดยบ้านเรือนเป็นลักษณะบ้านสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้หรือชั้นเดียวยกสูงมิใต้ถุนบ้านลักษณะบ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้สองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ใต้ถุนสูง สภาพบ้านเรือนมีความมั่นคงถาวร และครอบครัวส่วนใหญ่มีการปลูกผักสวนครัวเลี้ยงสัตว์ทั้งสัตว์ที่เลี้ยงไว้ขายและเป็นอาหาร ได้แก่ วัว ไก่ เป็ด และสัตว์ที่เลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลิน ได้แก่ สุนัข แมวเป็นต้น การแต่งงานของคนในชุมชนมีทั้งการแต่งกับคนในหมู่บ้านหมู่บ้านใกล้เคียง และต่างจังหวัดนามสกุลที่พบมากที่สุดคือ เมืองวงศ์ และวงศ์ปัญญา ทั้งนี้ประชาชนในหมู่บ้านเป็นลักษณะการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เช่น การแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ งานศพ ตลอดจนงานบุญต่าง ๆ และพิธีกรรมทางศาสนามีการใช้ศาสนสถานร่วมกันทั้งปีคือ วัดต๋อมดง ซึ่งจะศรัทธาตามบรรพบุรุษของตนและความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างไม่เป็นทางการที่ใช้ร่วมกันคือ วังมัจฉา ซึ่งเป็นสถานที่ที่เป็นแหล่งพักผ่อน และอนุรักษ์แม่น้ำและพันธุ์ปลาของประชาชนในหมู่บ้าน ถ้ามีงานในชุมชนต่าง ๆ คนในชุมชนมักร่วมแรงร่วมใจกัน
ประชาชนมีวิถีการดำรงชีวิตแบบพึ่งตนเองโดยการทำการเกษตรหลายรูปแบบ ทั้งการทำนา ทำสวนเลี้ยงสัตว์ จักสาน และรับจ้าง รวมทั้งประกอบธุรกิจส่วนตัว เช่น ค้าขาย อีกทั้งยังมีกลุ่มส่งเสริมอาชีพต่าง ๆ เช่น กลุ่มจักสานผักตบชวา เป็นการสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน จึงทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีฐานะความเป็นอยู่ในระดับปานกลาง ประชาชนในชุมชนให้ความสำคัญในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนามีการทำบุญตักบาตรในตอนเช้า ไปวัดทำบุญฟังเทศน์ฟังธรรมในโอกาสต่าง ๆ และส่งเสริมรักษาประเพณีอันดีงามต่าง ๆ ตลอด
ผู้ใหญ่บ้าน : นายจำลอง แปงมูล
กลุ่มที่เป็นทางการ
- กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) : นายแก้ว วงศ์กันทะ เป็นประธาน
- อาสาพัฒนาชุมชน (อช.) : นายสมศักดิ์ ยาดี เป็นประธาน
- อาสาสมัครเกษตร : นายศรีมูล ใจการ
- คณะกรรมการบริหารศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล : นายสุรวิทย์ วงศ์ปัญญา เป็นประธาน
กลุ่มที่ไม่เป็นทางการ
- กลุ่มผู้สูงอายุ : นายลือ ใจการ เป็นประธาน
- กลุ่มชมรมสุขภาพ : นางอรุณ จินะใจหาญ เป็นประธาน
- กลุ่มผักตบชวา : นางสาวปรางประภา วงศ์ปัญญา เป็นประธาน
- กลุ่มเยาวชน : นายอนุชิต เมืองวงศ์ เป็นประธาน
- กลุ่ม กพสม. : นายบ่วย ยอดอ้อย เป็นประธาน
- กลุ่มธนาคารข้าว : นายประสิทธิ์ ขยัยขาย เป็นประธานทั้ง
- กลุ่มกองทุนเงินล้าน, ออมทรัพย์ : นายสำเริง แก้วคงบุญ เป็นประธาน
- กลุ่มฌาปณกิจผู้สูงอายุ : นายบุญธรรม วิชัยโน เป็นประธาน
- กลุ่มผู้เลี้ยงโคเนื้อ : นายพิบูรณ์ เมืองวงศ์ เป็นประธาน
- กลุ่มข้าวพันธุ์ : นายประสิทธ์ เหล็กกล้า เป็นประธาน
- กลุ่มเมล็ดพันธุ์ข้าว : นายแฝง วงศ์ปัญญา เป็นประธาน
- กลุ่มผู้เลี้ยงไก่ : นายศรีมูล ใจการ เป็นประธาน
- กลุ่มผู้เลี้ยงกบ : นางชารอกา ยาดี ประธาน
สภาพทางเศรษฐกิจ ประชาชนมีรายได้ภาคเกษตรเฉลี่ยประมาณ 30,000 บาท/ครัวเรือน/ปี รายได้นอกภาคเกษตรเฉลี่ยประมาณ 16,000 บาพ/ครัวเรือน/ปี รายได้เฉลี่ยของประชากร (ตามเกณฑ์จปฐ.ปี 2557 ประมาณ 30,000 บาท/คน/ปี ครัวเรือนยากจน (รายได้ไม่ถึง 30,000 บาท/คน/ปี)
- อาชีพหลัก : การทำนา
- อาชีพรอง : รับจ้างทั่วไป, ทำสวนยางพารา, ทำสวนหอมแดงกระเทียม, ทำสวนข้าวโพด, ทำสวนผลไม้, ทำสวนมันสำปะหลัง, ปลูกถั่วลิสง
- อาชีพเสริม : จักสานผักตบชวา
- รายได้หลักของประชาชน : ภาคเกษตรกรรม
- รายจ่ายของประชาชน : ค่าใช้จ่ายทางการเกษตร, ค่าดำรงชีพ, ค่าสาธารณูปโภค, ค่างานสังคม, ค่าเล่าเรียนบุตร, ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
- หนี้สินของประชาชน : ส่วนใหญ่เป็นหนี้กู้ยืมของ ธกส. และหนี้ของกองทุนต่าง ๆ ในหมู่บ้าน
- แหล่งเงินทุน : กองทุนต่าง ๆ ในหมู่บ้านและ ธกส.
- ผลิตภัณฑ์ชุมชน : รายได้จากกลุ่มส่งเสริมอาชีพภายในหมู่บ้าน ได้แก่ จักสานผักตบชวา
ปฏิทินวัฒนธรรม
- เดือนมกราคม (เดือน 4 ล้านนา) : วันขึ้นปีใหม่, กลางเดือนจัดทำพิธี “ตานข้าวใหม่”
- เดือนกุมภาพันธ์ (เดือน 5 ล้านนา) : เลี้ยงเจ้าพ่อขุนต๋อม ข้าวใหม่น้ำหวาน
- เดือนมีนาคม (เดือน 6 ล้านนา) : สรงน้ำพระธาตุ
- เดือนเมษายน (เดือน 7 ล้านนา) : ปีใหม่เมือง ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง หรือประเพณีปีใหม่เมือง เป็นประเพณีที่สำคัญของชาวเหนือ หรือชาวล้านนา สืบเนื่องมาจากอดีตกาลที่จะยึดถือเป็นช่วงเปลี่ยนศักราชใหม่ โดยกำหนดจุดที่พระอาทิตย์ย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ ซึ่งมักจะตรงกับวันที่ 13 เมษายน หรือ 14 เมษายนของแต่ละปี และจะกินเวลาประมาณ 4-7 วัน ยาวนานกว่าสงกรานต์ของภาคอื่น ๆ
วันที่ 13 เมษายน วันสังขานต์ล่อง จะมีการจุดประทัด ยิงปืน เพื่อส่งสังขารหรือไล่สังขาร (จะถือเอาตามเวลาสังขานต์ล่องตามที่บอกในปฏิทินปี๋ใหม่เมืองในปีนั้น เช่น บอกว่าสังขานต์จะล่องเมื่อ 03 นาฬิกา 30 นาที 26 วินาที ชาวบ้านก็จะจุดประทัดเวลานั้นถือว่าไล่สังขานต์)
วันที่ 14 เมษายน เป็น "วันดา" คือวันที่ต้อง เตรียมสิ่งของต่าง ๆ เพื่อใช้ทำบุญในวันรุ่งขึ้น วันเน่า ไม่ควรด่าทอ เกิดอุบัติเหตุเจ็บตัว สาปแช่งหรือกล่าวคำร้ายต่อกัน ปากจะเน่าจะเหม็น เป็นอัปมงคลไปทั้งปี
วันที่ 15 เมษายน "วันพญาวัน" วันที่สามของประเพณีปีใหม่เมือง ถือเป็นวันเถลิงศก เปลี่ยนศักราชเริ่มต้นปีใหม่ วันนี้มีการทำบุญทางศาสนาแต่เช้าตรู่ และอุทิศกุศลไปถึงญาติผู้ล่วงลับ หรือเรียกว่า "ตานขันข้าว" นำตุงปักลงบนกองเจดีย์ทราย ช่วงบ่ายเป็นการรดน้ำดำหัว เพื่อขอขมาคนเฒ่าคนแก่ พ่อแม่ ครูอาจารย์ ไปสรงน้ำพระพุทธรูป เจดีย์ เลี้ยงผีปู่ย่าในวันนี้
วันที่ 16 เมษายน "วันปากปี" เป็นวันแรกของปี มารวมตัวกันเพื่อทำบุญเสาใจบ้าน หรือส่งเคราะห์บ้าน พิธีสืบชะตาหมู่บ้าน และพากันไปขอขมา ดำหัว พระเถระผู้ใหญ่ตามวัดต่าง ๆ ดำหัวผู้อาวุโส ผู้นำชุมชน ในตอนค่ำของวันนี้จะมีการบูชาเทียน สืบชะตา ลดเคราะห์ รับโชค เพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ครอบครัว โดยในวันปากปีมีความเชื่อบางประการเกี่ยวกับ "แกงขนุน" หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า "แกงบ่าหนุน" ที่จะกินกันทุกครอบครัว เพราะเชื่อว่าจะหนุนชีวิตให้เจริญก้าวหน้า ทั้งนี้เหตุผลของการทานแกงขนุนดังกล่าว อาจจะมาจากชื่อขนุน ที่มีความหมายถึงการเกื้อหนุน ค้ำจุน ครอบครัวให้เจริญรุ่งเรืองหรือตลอดปี
- เดือนพฤษภาคม (เดือน 8 ล้านนา) : เลี้ยงผีเจ้าที่
- เดือนมิถุนายน (เดือน 9 ล้านนา) : ประเพณีเลี้ยงผีป่า เจ้าที่นาเลี้ยงโดยเหล้าไห ไก่คู่ เป็นการเลี้ยงเจ้าที่ก่อนลงทำนาเพื่อให้การทำนาราบรื่นและได้ผลผลิตดี, เลี้ยงเจ้าพ่อขุนต๋อม, บวงสรวงเจ้าพ่อโสโย
- เดือนกรกฎาคม (เดือน 10 ล้านนา) : แรม 1 ค่ำ เดือน 8 ทำบุญเข้าพรรษา
- เดือนสิงหาคม (เดือน 11 ล้านนา) : ช่วงเดือนนี้จะอยู่ในช่วงเข้าพรรษา มีการทำบุญตักบาตร
- เดือนกันยายน (เดือน 12 ล้านนา) : ปล่อยเปรตปล่อยผี ทำบุญให้กับคนที่ล่วงลับไปแล้ว, ตานก๋วยสลาก ช่วงเดือน 12 ล้านนาถึงเดือนยี่ หรือตั้งแต่เดือนกันยายนจนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี
- เดือนตุลาคม (เดือน 1 ล้านนา) : ทำบุญออกพรรษา อยู่ในช่วงตานก๋วยสลาก สิ้นสุดเอาในเดือนเกี๋ยงดับ
- เดือนพฤศจิกายน (เดือน 2 ล้านนา) : ทอดกฐิน มีเวลา 1 เดือนหลังจากออกพรรษา ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือนเกี๋ยง (เดือนเกี๋ยงดับ) จนถึงวันเพ็ญเดือนยี่เหนือ, ประเพณียี่เป็ง
- เดือนธันวาคม (เดือน 3 ล้านนา) : มีการร่วมกันเก็บเกี่ยวข้าว ลงแขกเอามื้อ
1. นายโหล เมืองวงศ์ : ปราชญ์ชาวบ้านด้านการเกษตร
2. นายศรีมูล ใจการ : ปราชญ์ชาวบ้านด้านการเกษตร
3. นายวงศ์ วงศ์ปัญญา : ปราชญ์ชาวบ้านด้านหมอพื้นบ้าน
4. นายมา ใจการ : ปราชญ์ชาวบ้านด้านหมอพื้นบ้าน
5. นายบุญชู เขมาพิทักษ์ : ปราชญ์ชาวบ้านด้านศิลปวัฒนธรรม
6. นายแก้วมูล ใจการ : ปราชญ์ชาวบ้านด้านศิลปวัฒนธรรม
7. นายหนิ้ว ขยันขาย : ปราชญ์ชาวบ้านด้านหัตถการ
8. นายแก้วมูล จินะใจหาญ : ปราชญ์ชาวบ้านด้านหัตถการ
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของบ้านต๋อมดง หมู่ที่ 7 ตำบลบ้านต๋อมลักษณะทางนิเวศน์ที่สมดุลเนื่องจากมีการอนุรักษ์แหล่งธรรมชาติ มีการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ มีการทำการเกษตรแบบหมุนเวียน เพื่อรักษาหน้าดิน ซึ่งประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพด้านการเกษตรกรรมคือการทำนา ทำสวนยางพารา ทำสวนหอมแดงกระเทียม ทำสวนข้าวโพด ทำสวนผลไม้ ทำสวนมันสำปะหลัง นอกจากนั้นยังปลูกถั่วลิสง เป็นพืชหมุนเวียนในการรักษาหน้าดิน โดยใช้แหล่งน้ำจากแม่น้ำต๋อมที่ไหลผ่านหมู่บ้าน อาชีพเสริมมักทำจักสานผักตบชวา
Google Maps. (2559). พิกัดแผนที่ชุมชนบ้านต๋อมดง (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2559. เข้าถึงได้จาก https://www.google.com/maps
ประวัติจังหวัดในล้านนา จังหวัดพะเยา. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2559. เข้าถึงได้จาก http://wiangsalanna.myreadyweb.com/
ศูนย์วนศาสตร์ชุมชนเพื่อคนกับป่า. (2561). ชุมชนบ้านต๋อมดง: วิถีเกษตรต้นน้ำและการจัดการป่าชุมชน. พะเยา : ไฮสปีด เลเซอร์ปริ้น. เข้าถึงได้จาก https://www.recoftc.org/