Advance search

ชุมชนขนาดเล็กบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน หมู่บ้านเก่าแก่ก่อตั้งมายาวนานมากกว่า 110 ปี

บ้านท่าฉาง
หงาว
เมืองระนอง
ระนอง
องค์การบริหารส่วนตำบลหงาว โทร. 0-7782-6712
ธำรงค์ บริเวธานันท์
19 ก.ค. 2023
ธำรงค์ บริเวธานันท์
19 ก.ค. 2023
ธำรงค์ บริเวธานันท์
24 ก.ค. 2023
บ้านท่าฉาง


ชุมชนขนาดเล็กบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน หมู่บ้านเก่าแก่ก่อตั้งมายาวนานมากกว่า 110 ปี

บ้านท่าฉาง
หงาว
เมืองระนอง
ระนอง
85000
9.846985
98.595173
องค์การบริหารส่วนตำบลหงาว

ตำบลหงาว เป็นตำบลเล็ก ๆ ที่เกิดจากการอพยพย้ายถิ่นฐานของชาวบ้านจากอำเภอกะเปอร์บางส่วน และจากจังหวัดภูเก็ตมาตั้งบ้านเรือนใกล้กับทะเลและที่ราบริมภูเขาซึ่งสามารถทำเหมืองแร่ ทำประมง และเลี้ยงสัตว์ได้ตามฤดูกาล รวมทั้งการติดต่อกับชุมชนอื่นทางเรือได้อย่างสะดวกที่สุด ต่อมาชาวบ้านเชื้อสายจีนที่เดินทางมาจากจังหวัดภูเก็ตกลุ่มใหญ่เข้ามาประกอบอาชีพทำเหมืองแร่ ชุมชนเริ่มขยายตัวขึ้น มีการปลูกบ้านเรือนเพิ่มขึ้นบางส่วนเลี้ยงวัวไว้บริเวณเชิงเขา จึงเรียกทุ่งหญ้าเลี้ยงวัวเป็นภาษาจีนว่า “บ้านทุ่งหง่าว” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า “ทุ่งวัวเล่น” หลังจากนั้นชาวบ้านและคนรุ่นหลังได้เรียกชื่อหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านทุ่งหงาว” สืบต่อมา

บ้านท่าฉาง เป็นหมู่บ้านหนึ่งในเขตตำบลหง่าวภายหลังได้รับการยกฐานะเป็นตำบล เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ก่อตั้งมายาวนานมากกว่า 110 ปี ห่างจากอําเภอเมืองระนองไปทางทิศทางเหนือระยะทาง 16 กิโลเมตร บ้านท่าฉางถูกล้อมรอบตัวภูเขาและใกล้กับทะเล พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาและทะเลล้อมรอบ ชาวบ้านที่อพยพมาอาศัยเป็นรุ่นแรก ๆ ที่ตั้งรกรากในหมู่บ้านท่าฉางมาจากจังหวัดภูเก็ตและพังงา โดยเข้ามาทํางานตัดฟืนและขุดแร่ แรกเริ่มมีจำนวนประมาณ 2-3 ครัวเรือน และเมื่อตัดไม้ได้แล้วนํามากองไว้ทําให้มีจํานวนมากมายเลยเรียกว่า ท่าฉาง หมายถึง ท่าที่มีฉางไม้กองไว้มากมาย ต่อมาได้มีประชาชนมาตั้งรกรากกันหลายครอบครัวจนมีลูกสืบทอดเป็นชาวท่าฉางมาจนปัจจุบัน

อาณาเขตติดต่อ

  • ทิศเหนือ ติดต่อกับ หมู่ที่ 4 บ้านล่าง ตําบล หงาว อําเภอเมือง จังหวัดระนอง
  • ทิศใต้ ติดต่อกับ หมู่ที่ 5 บ้านหาดทรายดํา ตําบล หงาว อําเภอเมือง จังหวัดระนอง
  • ทิศตะวันออก ติดต่อกับ หมู่ที่ 1 บ้านทุ่งหงาว ตําบลหงาว อําเภอเมือง จังหวัดระนอง
  • ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ทะเลอันดามัน อําเภอเมือง จังหวัดระนอง

การคมนาคม

การคมนาคมและขนส่งในตำบลหงาวมีถนนในท้องถิ่นซึ่งเชื่อมพื้นที่ของหมู่บ้านต่าง ๆ เข้ากับทางหลวงหมายเลข 4 (ถนน เพชรเกษม) ซึ่งเป็นทางตัดต่อของตําบลกับอําเภอเมืองระนองและพื้นที่ตําบลอื่น โดยผ่านพื้นที่ตอนกลางของเขตการปกครององค์การบริหารส่วนตําบลหงาวตามแนวด้านตะวันออกของตําบล ส่วนการเดินทางจากตัวเมืองระนองตามถนนเพชรเกษมมายังตําบลหงาว ระยะทางประมาณ 14 กิโลเมตร และบ้านท่าฉาง ระยะทาง 20 กิโลเมตร โดยสามารถเดินทางจากตัวเมืองระนองโดยรถประจําทางสายสั้นภายในจังหวัด ได้แก่ ระนอง-ท่าฉาง ระนอง-ท่าต้นสน ระนอง-กะเปอร์ และรถประจําทาง ได้แก่ รถประจำทางสายชุมพร-ภูเก็ต ระนอง-ภูเก็ต ระนอง-กระบี่ ระนอง-สุราษฎร์ธานี และระนอง-หาดใหญ่ (โสรดา เทพนุรักษ์ และคณะ, 2561: 9)

บ้านท่าฉางเป็นหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ภายใต้การปกครองของเทศบาลตําบลหงาว ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตําบล หงาว อําเภอเมือง จังหวัดระนอง มีจํานวนครัวเรือน 983 ครัวเรือน มีประชากร จํานวน 3,523 คน เป็น ชาย 1,777 คนเป็นหญิง 1,746 คน

คนในชุมชนบ้านท่าฉางในอดีต ส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นกรรมกรเหมืองแร่กว่าร้อยละ 80 ที่เหลือจากนี้ทำสวนผัก ประมงหาปลา ซึ่งมีทั้งวิธีการใช้ลอบ อวน แห เรือผีหลอก การใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยใช้แสงไฟล่อให้ปลากระโดดขึ้นในเรือโดยอัตโนมัติ บางส่วนที่ทำอาชีพค้าขายโดยการนำของมาขายแก่ผู้ประกอบอาชีพหาแร่ นอกจากนี้ยังมีการประกอบอาชีพการเกษตร ส่วนใหญ่ปลูกกาหยูหรือมะม่วงหิมพานต์ แล้วนำไปแปรรูปเป็นเมล็ดกาหยูอบแห้ง และยังมีการเลี้ยงสัตว์เพื่อนํามาประกอบอาหารเพื่อเลี้ยงชีพในชุมชน เช่น มีการเลี้ยงแพะ เลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ดเทศ เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย เป็นต้น

ปัจจุบันการประกอบอาชีพหาแร่ของคนในชุมชนท่าฉางถูกยกเลิกไปแล้ว แต่อาชีพของชาวท่าฉางในปัจจุบันมีความเกี่ยวโยงกับสภาพพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่ติดกับป่าโกงกางและทะเลอันดามัน เมื่อย้อนเวลาไปราว 3-4 ปีที่ผ่านมาพื้นที่ริมฝั่งทะเลบ้านท่าฉางถูกทำลายอย่างหนักด้วยเครื่องมือประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเรืออวนลาก เรืออวนรุน จนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่ง สัตว์น้ำทะเลต่าง ๆ เริ่มหดหาย แต่ในปัจจุบันพื้นที่ริมฝั่งทะเลบ้านท่าฉางได้ฟื้นตัวคืนคงความอุดมสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง ชาวประมงพื้นบ้านเริ่มหันกลับมาทำการประมง ด้วยเครื่องมือดั่งเดิมที่สามารถสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวได้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เลี้ยงปูนิ่ม หาหอย ตกปู หาปลา ตามฤดูกาล และอาชีพทางการเกษตรการผลิตเมล็ดกาหยูแบบคั่ว และแบบเผาด้วยวิธีการแบบโบราณ โดยบ้านท่าฉางเป็นแหล่งผลิตกาหยู เพื่อจําหน่ายเป็นของฝากของจังหวัดระนอง นอกจากนี้ยังมีการประกอบอาชีพค้าขายและรับจ้างทั่วไป ซึ่งแรงงานส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานในครัวเรือน

ชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม มีมัสยิดประจําหมู่บ้าน คือ มัสยิดอัลฟาอีซีนย เป็นศูนย์รวมจิตใจ หมู่บ้านท่าฉางมีบาลาย (ที่สอนหนังสือ) 3 แห่ง คือ บาลายบ้านทุ่งบน บาลายบ้านในหาด และบาลายที่ต้น สน เป็นสถานที่ประกอบประเพณีและพิธีกรรมทางศาสนา โดยปกติแล้วชาวบ้านท่าฉางมีประเพณีและพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญ ดังนี้

ประเพณีการเข้าสุหนัต

การเข้าสุหนัต (มาโซะยาวี) คําว่า สุหนัด ภาษาอาหรับว่า สุนนะฮฺ แปลว่า แบบอย่างหรือ แนวทาง หมายความว่า เป็นการปฏิบัติตามนบีที่ได้เคยทํามา คําว่า มาโซะยาวี เป็นภาษามลายู (มาโซะ แปลว่า เข้า ยาวี เป็นคําใช้เรียกชาวอิสลามที่อยู่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยส่วนรวม) หมายถึงเข้าอิสลาม หรือพิธีขลิบหนังปลายอวัยวะเพศชาย การเข้าสุหนัตชายมักจะทําในระหว่างอายุ 9 ขวบ ถึงอายุ 15 ขวบ ส่วนหญิงจะเข้าสุหนัตตั้งแต่คลอดใหม่ ๆ จนอายุไม่เกิน 2 ขวบ

พิธีเข้าสุหนัตหญิงนั้น หมอตําแยจะเอาสตางค์แดงมีรู วางรูสตางค์ตรงปลายกลีบเนื้อซึ่งอยู่ ระหว่างอวัยวะเพศของทารกหญิงแล้วใช้มีดคม ๆ หรือปลายเข็มสะกิดปลายเนื้อส่วนนั้นให้เลือดออกมาขนาดแมลงวันตัวหนึ่งกินอิ่ม เป็นอันเสร็จพิธี ส่วนการเข้าสุหนัตชายนั้น ผู้ทําพิธีขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศเรียกว่า โต๊มเต็ง บางรายจะจัดงานและมีขบวนแห่ใหญ่โต เชิญแขกเหรื่อให้มากินเหนียว (มาแกปูโละ) หรือบางรายจัดให้มีการแสดงมหรสพ เช่น มะโย่ง ลิเกฮูดูให้ชมด้วย

ประเพณีวันเมาลิด

เมาลิดเป็นภาษาอาหรับ แปลว่า ที่เกิดหรือวันเกิด หมายถึง วันเกิดของนบีมูฮัมมัด ตรงกับวันที่ 12 เดือนรอบีอุลอาวาล หรือเดือนที่ 3 ตามปฏิทินอาหรับ วันเมาลิดยังเป็นวันรําลึกถึงวันที่ท่านนบีมูฮัมหมัดลี้ภัยจากเมืองเมกกะไปยังเมืองมาดีนะห์ และเป็นวันมรณกรรมของท่านด้วย กิจกรรมต่าง ๆ ในวันเมาลิด ได้แก่ การเชิญคัมภีร์อัล-กุรอ่าน การแสดงปาฐกถาธรรม การแสดงนิทรรศการ และการเลี้ยงอาหาร ฯลฯ

ประเพณีอาซูรอ

อาซูรอ เป็นภาษาอาหรับ หมายถึงวันที่ 10 ของเดือนมุฮัวรอม ซึ่งเป็นเดือนทางศักราชอิสลาม มีตำนานเล่าว่าในสมัยนบีนุฮ ได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินไร่นาของประชาชน เกิดภาวการณ์ขาดแคลนอาหาร นบีนุฮจึงประกาศให้ผู้ที่มีสิ่งของที่เหลือพอจะกินได้ให้เอามากองรวมกันเพื่อให้เหล่าสาวกได้รับประทานอาหารร่วมกันและเหมือนกัน

ในสมัยนบีมูฮัมมัด (ศ็อล) เหตุการณ์ทํานองนี้ได้เกิดขึ้นขณะที่กองทหารของท่านกลับจาก การรบที่บาดัง ปรากฏว่าทหารมีอาหารไม่พอกิน ท่านจึงใช้วิธีการของนบีนุฮ ให้ทุกคนเอาข้าวของที่กินได้มากวนเข้าด้วยกันแล้วแบ่งกันกินในหมู่ทหาร เครื่องปรุงสําคัญประกอบด้วย เครื่องแกง มีข่า ตะไคร้ หอม กระเทียม ผักชี ยี่หร่า ข้าวสาร เกลือ น้ำตาล กะทิ กล้วย หรือผลไม้อื่น ๆ เนื้อ ไข่ นำมาตําหรือบดเครื่องแกงอย่างหยาบ ๆ เทส่วนผสมต่าง ๆ ลงในกระทะใบใหญ่ เมื่ออาหารสุกเป็นเนื้อเดียวกันแล้วจึงตักใส่ถาด โรยหน้าด้วยไข่เจียวบาง ๆ หรืออาจเป็นหน้ากุ้ง เนื้อสมัน ปลา สมัน ผักชี หอมหั่น พอเย็นแล้วก็ตัดเป็นชิ้น ๆ คล้ายขนมเปียกปูน

การกินอาหารในวันอาชูรอมีบัญญัติไว้ในอุลกุรอาน โดยให้บริโภคจากสิ่งที่อนุมัติและสิ่งที่ดี ไม่บริโภคอย่างสุรุ่ยสุร่ายและสิ่งที่ก่อให้เกิดโทษแก่ร่างกาย สติปัญญา อาหารที่ไม่อนุมัติ เช่น เนื้อหมู เลือด สัตว์ที่ตายแล้ว สัตว์ที่เชือดโดยเปล่งนามอื่นนอกจากอัลเลาะห์ สัตว์ที่เชือดเพื่อบูชายัญ ส่วนสัตว์ที่ตายเองต้องมีสาเหตุดังนี้คือ สัตว์ที่ถูกรัด สัตว์ที่ถูกตี สัตว์ที่ตกจากที่สูง และสัตว์ที่ถูกสัตว์ป่ากิน สัตว์ที่ตายเองในห้าลักษณะดังกล่าวหากเชือดทันก็สามารถบริโภคได้ อาหารที่จัดอยู่ในพวกเครื่องดื่มมึนเมาและสิ่งอื่นใดก็ตามที่อยู่ในข่ายก่อให้เกิดโทษมากกว่าเกิดประโยชน์ ก็ไม่เป็นที่อนุมัติเช่นกัน เช่นเหล้า ยาเสพติดทุกประเภท ฯลฯ

ประเพณีฮารีรายอ

ประเพณีฮารีรายอ หรือเทศกาลฮารีรายอมีการจัดงานอยู่สองวัน คือ

  • วันอิฎิลฟิตรี เป็นวันรื่นเริง เนื่องจากสิ้นสุดการถือศีลอดในเดือน รอมฎอน เป็นการกลับเข้าสู่สภาพเดิม ตรงกับวันที่ 1 ของเดือนเซาวาล ซึ่งเป็นเดือนที่ 10 ทางจันทรคติ การปฏิบัติของชาวอิสลามในวันฮารีรายอจะบริจาคทานเรียกว่า ซากัดฟิตเราะห์ (การบริจาคข้าวสาร) แก่คนแก่หรือคนยากจน บางครั้งจึงเรียกว่า วันรายอฟิตเราะห์ หลังจากนั้นจะไปละหมาดที่มัสยิด และมีการขอขมาจากเพื่อน มีการเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องที่อยู่ใกล้และไกลออกไป ทั้งยังมีการเลี้ยงอาหารในวันนี้ด้วย
  • วันรายออิฎิลอัฎฮา คําว่า อัฎฮา แปลว่า การเชือดพลี เป็นการเชือดสัตว์เพื่อเป็นอาหารแก่ประชาชนและคนยากจน อิดัลอัดฮา จึงหมายถึง วันรื่นเริงเนื่องในวันเชือดสัตว์พลี ตรงกับวันที่ 10 ของเดือนซุลฮจญะ เป็นเวลาเดียวกับการประกอบพิธีฮัจญ์ที่เมืองเมกกะของชาวอิสลามทั่วโลก ชาวไทยอิสลามจึงนิยมเรียกวันตรุษนี้ว่า วันอีดใหญ่ การปฏิบัติจะมีการละหมาดร่วมกันและเชือดสัตว์เช่น วัว แพะ แกะ แล้วแจกจ่ายเนื้อสัตว์เหล่านั้นแก่คนยากจน การเชือดสัตว์พลีนี้เรียกว่า กุรบาน

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ภาษาที่ใช้สื่อสารกันภายในชุมชนบ้านท่าฉางนั้นมีทั้งภาษามลายูและภาษาไทย โดยกลุ่มที่พูดภาษามลายูหรือชาวไทยมุสลิมมักตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นกลุ่มไม่ปะปนกับกลุ่มศาสนาอื่น ปัจจุบันผู้ที่พูดภาษามลายูก็สามารถพูดไทยได้เป็นส่วนใหญ่ เพราะมีการศึกษาสูงขึ้นตามความเจริญของท้องถิ่นและความจําเป็นที่ต้องประกอบอาชีพที่สัมพันธ์กัน สําหรับชาวพุทธที่พูดภาษาไทยก็สามารถพูดภาษามลายูได้ นับว่าเป็นวิวัฒนาการด้านวัฒนธรรมในปัจจุบัน


ท่าต้นสนกับวิถีชีวิตและเศรษฐกิจของชาวท่าฉาง

ปัจจุบันพื้นที่ชายทะเลท่าฉางมีการก่อสร้างท่าเรือต้นสน โดยมีการคาดการณ์คาดเมื่อท่าเรือเปิดให้บริการจะส่งผลกระทบต่อวิถีการประกอบอาชีพของชาวบ้าน ทั้งนี้ ชาวท่าฉางก็ได้มีคิดวางแผนเอาไว้เมื่อถึงเวลาที่ท่าเรือเปิดก็จะเกิดอาชีพใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นและคนในชุมชนก็มีงานทำที่ดีขึ้นจากเดิม แต่การพัฒนาท่าเรือเมื่อเป็นไปในทางที่ดีก็จะมีทางที่ไม่ดีตามมาด้วยเช่นเดียวกัน ทว่าชาวบ้านไม่ได้มองว่าผลกระทบทางลบที่จะตามมานั้นเป็นปัญหาใหญ่โตแต่อย่างใด ด้วยชาวท่าฉางมีความต้องการให้ท่าเรือมีการพัฒนาให้เจริญมากยิ่งขึ้น เพราะจะช่วยสร้างอาชีพใหม่ให้เกิดขึ้นภายในชุมชน เช่น เรือรับจ้าง รถรับจ้าง กิจกรรมด้านการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตในชุมชน ตลอดจนการแปรรูปสัตว์น้ำ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ชุมชน ทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในชุมชน ส่วนผลกระทบทางอ้อมมคือการเปิดให้บริการท่อเรืออาจทำให้มีประชากรแฝงจากภายนอกเข้ามาในชุมชน แต่ดังที่กล่าวไปแล้วว่าชาวท่าฉางหาได้มองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นปัญหาใหญ่ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่ชาวท่าฉางต้องการ คือ ท่าเรือแห่งนี้จะนำมาซึ่งแนวทางและลู่ทางประกอบชีพ เพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจสร้างเม็ดเงินให้หมุนเวียนในชุมชนอย่างมั่นคง 

หลักการทักทายตามแนวทางของศาสนาอิสลาม (สะลาม)

การทักทาย หรือ การให้สะลามเมื่อพบปะกัน คือ การกล่าว “อัสลามุอลัยกุม และมีการสัมผัสมือกัน สําหรับผู้ที่ถูกให้สลามจําเป็นจะต้องตอบว่า “อาลัยกุมมุสลาม” การปฏิบัติเกี่ยวกับการกล่าวสะลาม มีหลายประการ คือ

1. การสะลามและการจับมือด้วย ซึ่งกระทําได้ระหว่างชายกับชาย และหญิงกับหญิง สําหรับชายกับหญิงทําได้เฉพาะผู้ที่อยู่ในฐานะที่แต่งงานกันไม่ได้เท่านั้น เช่น พ่อกับลูก พี่กับน้อง หากชายหญิงนั้นอยู่ในฐานะที่จะแต่งงานกันได้เป็นสิ่งต้องห้าม

2. ผู้ที่อายุน้อยกว่าควรให้สะลามผู้ที่อายุมากกว่า

3. เมื่อจะเข้าบ้านไม่ว่าจะเป็นบ้านของตนเองหรือผู้อื่น สิ่งแรกที่จะต้องทํา คือ การกล่าวสะลาม ให้แก่ผู้ที่อยู่ในบ้านทราบก่อน หากกล่าวครั้งแรกยังไม่มีผู้รับสะลามก็ให้กล่าวอีกสองครั้ง ถ้ายังไม่มีผู้กล่าวรับก็ให้เข้าใจว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่หรือไม่พร้อมที่จะรับแขกก็ให้กลับไปก่อน แล้วค่อยมาใหม่

4. จะต้องมีการกล่าวสะลามก่อนที่จะมีการสนทนาปราศรัย

5. เมื่อมีผู้ให้สะลาม ผู้ฟังหรือผู้ที่ได้ยินต้อง (บังคับ) กล่าวรับสะลาม ถ้าอยู่หลายคนก็ให้คนใดคนหนึ่งกล่าวรับถือเป็นการใช้ได้ ถ้าไม่มีผู้ใดรับสะลามเลยจะเป็นบาปแก่ผู้นั้น

โสรดา เทพนุรักษ์ และคณะ. (2561). แนวทางการปรับตัวด้านอาชีพของคนในชุมชนบ้านท่าฉาง ภายใต้บริบทของการพัฒนาท่าเรือในตำบลหงาว อำเภอเมือง จังหวัดระนอง. สำนักงานกองทุนสนับสุนการวิจัย (สกว.). ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น.

อวดระนอง. (2563). ท่าต้นสน บ้านท่าฉาง ตำบลหงาว. สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2566, จาก https://web.facebook.com/

Anunida Anantachoke. (ม.ป.ป.). ท่าต้นสน หงาว ระนอง. สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2566, จาก https://www.pinterest.com/

Google Maps. (ม.ป.ป.). สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2566, จาก https://www.google.com/maps/

องค์การบริหารส่วนตำบลหงาว โทร. 0-7782-6712