พระเจ้าองค์ดำลือชื่อ นับถือเจ้าหลวงคำแดง แหล่งวัฒนธรรมชาวเขา มะพร้าวเผารสดี ชิมลิ้นจี่หวานฉ่ำ ชมถ้ำประกายเพชร น้ำผลไม้รสเด็ด สวนเกษตรห้วยชมพู ผลิตน้ำปูจากทุ่งนา ข้าวกล้องมีคุณค่า คือภูมิปัญญาตำบลศรีถ้อย
ชื่อหมู่บ้านท่าต้นหาดมาจากต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งในหมู่บ้านที่เรียกว่า "ต้นหาด" ชาวบ้านจึงนำชื่อต้นไม้ต้นนี้มาตั้งเป็นชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านท่าต้นหาด"
พระเจ้าองค์ดำลือชื่อ นับถือเจ้าหลวงคำแดง แหล่งวัฒนธรรมชาวเขา มะพร้าวเผารสดี ชิมลิ้นจี่หวานฉ่ำ ชมถ้ำประกายเพชร น้ำผลไม้รสเด็ด สวนเกษตรห้วยชมพู ผลิตน้ำปูจากทุ่งนา ข้าวกล้องมีคุณค่า คือภูมิปัญญาตำบลศรีถ้อย
บ้านท่าต้นหาด เดิมเป็นหมู่บ้านเดียวกันกับบ้านทุ่งป่าข่าหมู่ 6 โดยชาวบ้านกลุ่มหนึ่งย้ายมาจากเมืองลอง อำเภอลอง จังหวัดแพร่ จำนวน 3 ครอบครัว มาตั้งถิ่นฐานบริเวณท่าน้ำแม่ใจโดยต่อมาได้มีชาวบ้านมาอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 25 ครอบครัว มีผู้นำหมู่บ้านอย่างไม่เป็นทางการ คือ 1) พ่อฟู 2) พ่อพัด 3) พ่อชุ่ม สุปันตำ
บ้านทุ่งป่าข่า หมู่ที่ 6 ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา เท่าที่สอบถามความเป็นมาจากผู้เฒ่าผู้แก่ ในหมู่บ้านทราบว่า เริ่มแรกได้หนีความแห้งแล้งมาจากจังหวัดลำปาง และจังหวัดแพร่ เพราะเป็นเครือญาติกัน ในสมัยนั้นต้องเดินเท้าเป็นเวลาแรมเดือน เนื่องจากไม่มียานพาหนะ โดยอาศัยอยู่ด้วยกันไม่กี่ครอบครัวและตอนนั้นยังเป็นป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ส่วนใหญ่ในป่านั้นจะมีต้นข่าซึ่งเป็นพืชล้มลุกมีมากกว่าพรรณไม้อื่น ๆ และผู้คนส่วนใหญ่ที่อพยพกันมามีความถนัดในการทำนา ปลูกข้าว เป็นอาชีพหลัก จึงได้บุกเบิกพื้นที่ทุ่งนา และตั้งเป็นชื่อหมู่บ้านว่า บ้านทุ่งป่าข่า ในสมัยนั้นพื้นที่แห่งนี้ยังอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย และชาวบ้านได้แต่งตั้งให้ท้าวขุนศรี เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก ของหมู่บ้านทุ่งป่าข่า
รายชื่อผู้ใหญ่บ้าน จากอดีตถึงปัจจุบัน
1. ท้าวขุนศรี (ยังไม่มีนามสกุล) | พ.ศ. 2356-2395 | จำนวน 40 ปี |
2. นายก๋า ได้นามสกุล ละดาวัลย์ | พ.ศ. 2395-2435 | จำนวน 40 ปี |
3. นายคำตั๋น ได้นามสกุล อุทธโยธ | พ.ศ. 2435-2477 | จำนวน 42 ปี |
4. นายหวัน เมืองมูล | พ.ศ. 2477-2487 | จำนวน 10 ปี |
5. นายมา เวียงนาค | พ.ศ. 2487-2513 | จำนวน 26 ปี |
พ.ศ. 2356 ได้มีผู้ใหญ่บ้านคนแรก คือท้าวขุน ยังไม่มีนามสกุล
พ.ศ. 2395 ได้มีการทำนา ทำไร่ เพาะปลูก เพื่อหาเลี้ยงชีพ การประกอบอาหารจะใช้เตาแบบสมัยเก่าโดยนำแผ่นไม้มาก่อเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส แล้วนำดินมาเทไว้ตรงกลาง ต่อมานำก้อนอิฐ 3 ก้อนมาก่อไว้ตรงกลางและตั้งหม้อได้เลย นำฟืนใส่ใต้หม้อ 2 ทางคือทางใส่ฟืน เหลืออีก 1 ทางก็เป็นทางที่นำขี้เถ้าออกมา หลังจากนั้นจะมีการเก็บขี้เถ้าเพื่อนำมาใช้สระผม ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีสบู่และแชมพู ชาวบ้านในสมัยนั้นจะใช้ขี้เถ้า ใบต้นหมี่ ลูกส้าน มาใช้ในการสระผม และนำขี้เถ้า ลูกส้าน มาใช้ซักผ้าโดยซักโดยใช้มือ รวมไปถึงการนำผ้ามาวางไว้กับหินแล้วใช้ไม้ทุบเพื่อให้ผ้าสะอาดมากขึ้น รวมไปถึงห้องน้ำที่ใช้ในการขับถ่ายอุจจาระ โดยชาวบ้านจะขุดหลุมแล้วนำแผ่นไม้มาพาดและขับถ่ายอุจจาระลงบริเวณหลุมดินที่ขุดไว้ และใช้ไม้มาหั่นเป็นกลีบเล็ก ๆ ในการเช็ดทำความสะอาด ภายในหมู่บ้านจะมีต้นน้ำที่มาจากปางปูเลาะไหลลงมา และมีการขุดบ่อน้ำเป็นหลุมดินมีความลึกพอประมาณเพื่อรองเอาน้ำที่ไหลมาจากต้นน้ำไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยดื่มและใช้น้ำจากบ่อน้ำนี้ซึ่งบ้านแต่ละหลังในหมู่บ้านจะมีการขุดบ่อน้ำเอาไว้ใช้ทุกหลัง
การเดินทางในยุคสมัยนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก ถนนเป็นถนนลูกรัง หน้าฝนก็จะกลายเป็นโคลนตม พาหนะที่ใช้คือเกวียนโดยมีวัวหรือควายลากแต่จะมีในผู้ที่พอมีฐานะและการเดินเท้าสำหรับคนทั่วไป เมื่อเกิดการเจ็บป่วยขึ้นกับคนภายในหมู่บ้าน หากบ้านไหนมีเกวียนก็จะใช้เกวียนเป็นพาหนะในการเดินทางไปยังโรงพยาบาลพะเยา (รพ.พะเยาก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2500) ในหมู่บ้าน มีหมอตำแยเพื่อทำการทำคลอดให้กับหญิงตั้งครรภ์ภายในหมู่บ้านและหมอตำแยจะมีทั้งเพศหญิงและเพศชาย โดยหมอตำแยจะใช้ไม้ผิว (ไม้บง,ไม้ซาง) เหลาบาง ๆ ซึ่งจะมีความคมแทนกรรไกรมาตัดสายสะดือทารกในสมัยนั้น
วัดได้มีการจัดการเรียนการสอนให้กับเด็กวัยเรียนในสมัยนั้น โดยใช้กระดาษสาที่ทำขึ้นมาเองจากวิธีการต้ม และใช้หญ้าหมึก นำมาแทนปากกาหมึกซึมในการเขียน ต่อมาได้มีการนำไม้มาตัดเป็นแผ่นไม้เป็นแป้น แล้วนำก้อนหินที่หามาได้จากลำห้วยมาเหลาแหลม ๆ และใช้เขียน ซึ่งคล้าย ๆ กับการใช้กระดานดำและชอล์กในปัจจุบัน ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีชุดนักเรียน ชาวบ้านจึงได้นำต้นปอมาตัดเป็นแผ่นบาง ๆ ให้พอดีกับเท้า และได้นำใบปอมาพันเป็นสายและเจาะรูแป้นต้นปอ และนำใบปอมามัดใส่ ทำเป็นรองเท้า เหตุผลที่นำต้นปอมาทำเป็นรองเท้าเนื่องจากมีน้ำหนักเบา
พ.ศ. 2478 ก่อตั้งโรงเรียนบ้านทุ่งป่าข่า ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่ 114 หมู่ที่ 6 ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา มีเนื้อที่ 10 ไร่ 41 ตารางวา เปิดรับนักเรียนเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2482 โดยนายมา เวียงนาคและนายปัญญา จันทร์ขอด ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 5 และ 6 ตามลำดับ โดยมีนายอรุณ ลือโขง ดำรงตำแหน่งครูใหญ่คนแรก ชาวบ้านร่วมกันบริจาคทรัพย์สินเพื่อจัดซื้อที่ดินและก่อสร้างอาคารเรียนชั่วคราวขึ้นหนึ่งหลัง เปิดทำการสอนครั้งแรกตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
ปัจจุบันโรงเรียนบ้านทุ่งป่าข่า จัดการศึกษา ตั้งแต่ระดับปฐมวัย ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
พ.ศ. 2487 การหาเลี้ยงชีพยังคงมีการทำไร่ ทำสวนผลไม้ และยังคงทำนาโดยใช้ควายไถนา รวมไปถึงการหาหอย ปูและปลาตามบริเวณแหล่งน้ำเพื่อนำมาใช้ประกอบอาหารเช่นเดียวกันกับก่อนหน้านี้ ซึ่งสมัยก่อนบริเวณภายในหมู่บ้านจะเป็นพื้นที่โล่ง ๆ มีบ้านอยู่ 3 หลัง ชาวบ้านจะมีอาชีพปลูกหอม ทำนา ต่างคนต่างปลูก ใช้เวลาวันเดียวก็แล้วเสร็จ เพราะมีนาข้าวเพียงไม่กี่ไร่และได้ทำการตำข้าวกินเองโดยสมัยนั้นยังไม่มีโรงสี เริ่มจะมีการนำส้วมซึมเข้ามาใช้ภายในหมู่บ้าน ในเวลาต่อมาได้มีพระธุดงค์มาก่อตั้งวัดบริเวณใกล้ ๆ กับภูเขาชื่อว่า “วัดฝายหิน” และได้ย้ายวัดมาอยู่ใกล้กับหมู่บ้านในปัจจุบัน และมีพระพุทธรูปประจำหมู่บ้านคือ “พระเจ้าฝนแสนห่า” โดยชาวบ้านมีความเชื่อว่าในวันเข้าพรรษาพระพุทธรูปจะเปล่งแสงออกมา และห้ามมิให้ผู้ใดไปทักมิเช่นนั้นแสงก็จะหายไป แสงสว่างภายในครัวเรือนยามค่ำคืนแต่ละหลัง ได้มาจากการใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดซึ่งใช้จุดให้แสงสว่างในสมัยนั้นก่อนที่จะมีไฟฟ้าใช้ โดยหากบ้านหลังใดพอมีฐานะก็จะใช้ตะเกียงเจ้าพายุ ซึ่งน้ำมันก๊าดในสมัยนั้นมีราคาอยู่ที่ 25 สตางค์/ลิตร หาซื้อง่ายและราคาถูก ส่วนตะเกียงเจ้าพายุจะมีราคาที่ค่อนข้างสูง หรือประมาณ 200 บาทในสมัยนั้น
พ.ศ. 2512 หมู่บ้านต้นหาด ได้ยกฐานะเป็นหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ โดยแยกมาจากหมู่บ้านทุ่งป่าข่า หมู่ 6 โดยมีผู้ใหญ่บ้านปกครองคนแรกคือนายไหล จันทร์ต๊ะละ จะมีการตีกระหลบ (ฆ้องแบบไม้) เพื่อนัดประชุมชาวบ้านชื่อหมู่บ้านท่าต้นหาดมาจากต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งในหมู่บ้านที่เรียกว่าต้นหาดชาวบ้านจึงนำชื่อต้นไม้ตันนี้มาตั้งเป็นชื่อหมู่บ้านว่าบ้านท่าต้นหาด
พ.ศ. 2513 อาจารย์ทองคำ สารถ้อย อาจารย์สอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านทุ่งป่าข่า มีแนวคิดหาพืชเศรษฐกิจมาปลูกในอำเภอแม่ใจ จึงได้มีการนำลิ้นจี่ต้นแรกเข้ามาปลูกในจังหวัดพะเยาและได้ทำการปลูกลิ้นจี่ต้นแรกในบ้านทุ่งป่าข่า ตำบลศรีถ้อย โดยพันธุ์แรกที่นำมาปลูกคือลิ้นจี่พันธุ์ฮงฮวย ต่อมาได้มีการนำรถเข้ามาใช้ในหมู่บ้านครั้งแรก เป็นรถจักรยานยนต์ 2 จังหวะ
พ.ศ. 2518 ชาวบ้านเริ่มประกอบอาชีพปลูกสวนลิ้นจี่เป็นจำนวนมาก
พ.ศ. 2521 มีโรงงานลิ้นจี่มาตั้งในหมู่บ้าน เป็นปัจจัยเสริมให้ชาวบ้านปลูกลิ้นจี่มากขึ้น
พ.ศ. 2523 เริ่มมีการสร้างถนนคอนกรีตเข้ามาในหมู่บ้าน
พ.ศ. 2524 มีการก่อตั้งโรงเรียนในหมู่บ้าน ชื่อ โรงเรียนเจริญใจ
พ.ศ. 2525 เริ่มมีไฟฟ้าใช้ในหมู่บ้าน เมื่อมีไฟฟ้าก็เริ่มมีโทรทัศน์ขาวดำ
พ.ศ. 2526 รถจักรยานยนต์คันแรก การคมนาคมเริ่มเจริญก้าวหน้า สะดวกสบายมากขึ้น
เกิดเหตุการณ์ขัดแย้งระหว่างชาวบ้านตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 มาจนถึงปี พ.ศ. 2531 สืบเนื่องจากกรณีฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าพระพุทธรูปที่วัดดอนตาเป็นพระอีบางนางแล้ง เป็นต้นเหตุของฝนแล้งต้องทำลายพระพุทธรูปเสีย แต่ชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งไม่ยอม พระครูมานัสนทีพิทักษ์จึงหาทางไกล่เกลี่ย ประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ แม้จะได้รับการโจมตีจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย แต่ท่านก็ใช้เมตตาบารมีสามารถคลี่คลายปัญหาได้ในที่สุดจากจุดนี้เองทำให้พระครูมานัสนทีพิทักษ์คิดว่าจำเป็นจะต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ชาวบ้าน ด้วยการเทศนาสั่งสอนหลักธรรมะผสมผสานกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยชี้ให้ชาวบ้านได้เห็นเป็นรูปธรรม ถึงสาเหตุของธรรมชาติที่วิปริตแปรปรวนโดยการฉายสไลด์ ภาพถ่าย ตลอดจนพาชาวบ้านขึ้นไปดูการตัดไม้ทำลายป่าของนายทุนบนภูเขา ไปดูต้นน้ำลำธารที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และพาไปศึกษาดูงานในท้องที่ต่าง ๆ ทำให้ชาวบ้านเข้าใจและเกิดจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของท้องถิ่น
พ.ศ. 2527 เริ่มมีไฟฟ้าเข้ามาใช้ในหมู่บ้าน ทำให้เลิกใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดในบางบ้าน และ มีทำถนนใหม่เป็นถนนลาดยาง
พ.ศ. 2529 เปลี่ยนจากการไถนโดยใช้ควายมาเป็นแบบการใช้รถไถนาแบบเดินตามแทนคันแรกจากนั้นก็มีชาวบ้านเปลี่ยนตาม
พ.ศ. 2530 มีการใช้เครื่องกระจายเสียงในการแจ้งข่าวต่างๆในหมู่บ้าน
พ.ศ. 2530 พระครูมานัสนทีพิทักษ์ อดีตเจ้าคณะอำเภอแม่ใจ ซึ่งปัจจุบัน คือพระโสภณพัฒโนดม รองเจ้าคณะจังหวัดพะเยา ได้ร่วมกับชาวบ้านหามาตรการดูแลรักษาป่า โดยริเริ่มนำพิธีสืบชะตาลำน้ำแม่ใจมาใช้ เป็นกุศโลบายสร้างขวัญและกำลังใจของชาวบ้าน "แม่น้ำ" ประสบชะตากรรมเดียวกับ "ป่าไม้" คือถูกทำลายระบบนิเวศของแม่น้ำที่เป็น "แม่" ผู้ให้ชีวิต เกิดมลภาวะเพราะสารเคมีจากการทำการเกษตร การทิ้งของเสียลงไปสารพัด การปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่ทำให้หน้าดินไหลลงไปสู่แม่น้ำ ห้วย หนอง ทำให้แหล่งต้นน้ำตื้นเขินแห้งแล้ง ชาวบ้านไม่มีน้ำกินน้ำใช้ จึงได้รณรงค์ให้ชาวบ้านร่วมกันอนุรักษ์ป่าซึ่งการเทศน์สอนอย่างเดียวไม่ได้ผล จึงหากุศโลบายที่เข้ากับวิถีชุมชนคือการประยุกต์ความเชื่อและประเพณีวัฒนธรรมให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้โทรศัพท์บ้านยังเริ่มมีใช้เป็นครั้งแรกเพื่อใช้ติดต่ออีกด้วย
พ.ศ. 2531 เกิดเหตุการณ์ขัดแย้งระหว่างชาวบ้านตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 มาจนถึงปี พ.ศ. 2531 สืบเนื่องจากกรณีฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล โดยพระครูมานัสนทีพิทักษ์คิดว่าการเทศน์สั่งสอนเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถรักษาผืนป่าแห่งตำบลศรีถ้อย ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่รวมตัวไหลลงสู่กว๊านพะเยาไว้ได้ ท่านจึงหามาตรการและวิธีการยับยั้งการตัดไม้ทำลายป่า โดยอาศัยหลักธรรมทางพุทธศาสนาและขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมเข้ามาช่วย คือการนำแนวคิดพิธีกรรมการบวชป่าและสืบชะตาแม่น้ำ โดยเฉพาะพิธีบวชป่าซึ่งท่านเป็นผู้คิดขึ้น และได้ประกอบพิธีกรรมครั้งแรกในโลกเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2531 พร้อมกันนั้นก็เริ่มก่อตั้งกลุ่มอนุรักษ์ขึ้น เพื่อเป็นแนวร่วม ซึ่งตรงกับคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านคือ ชาวบ้านในหมู่บ้านมีความเชื่อในการทำพิธีกรรมการเลี้ยงผีน้ำและการทำพิธีสืบชะตาให้แก่น้ำและคนภายในหมู่บ้าน ซึ่งแบ่งการทำพิธีเป็น 3 ครั้งต่อปี ดังนี้
1. การเลี้ยงผีต้นน้ำ จะมีการทำพิธีขึ้นในเดือน 9 ของเดือนล้านนา หรือเดือนมิถุนายนของสากล โดยจะมีการทำพิธีทุกปี ปีละ 1 ครั้ง ซึ่งเป็นประเพณีที่ทำสืบทอดต่อกันมานาน โดยจะทำพิธีการเลี้ยงผีที่หมู่บ้านปางปูเลาะ ซึ่งเป็นหมู่ 13 ในปัจจุบัน และเป็นบริเวณต้นน้ำ โดยจะมีการนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีจำนวน 29 รูป และจะมีการจัดทำพิธีขึ้นทุกปี โดยในพิธีจะมีการสืบชะตาน้ำตามความเชื่อของชาวบ้าน และมีการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วรวมไปถึงภูตผีที่อยู่บริเวณนั้น
2. การเลี้ยงผีปลายน้ำ โดยจะทำพิธีการเลี้ยงผีที่บริเวณต้นจำปีที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านที่มีอายุหลายร้อยปี โดยปัจจุบันถูกตัดโค่นลงไปแล้วเหลือเพียงแต่ตอไม้ขนาดใหญ่ แต่ก็ยังคงมีการทำพิธีอยู่ทุกปี โดยผู้เข้าร่วมพิธีคือชาวบ้านจากหมู่ที่ 4,5,6,8 และ หมู่ที่ 12 ซึ่งจะมีการทำพิธีในเดือน 9 ของล้านนาเช่นเดียวกันกับการเลี้ยงผีต้นน้ำแต่เป็นคนละวันกัน โดยจะทำปีละ 1 ครั้ง ทำเป็นประจำทุกปี
โดยในพิธีจะมีเจ้าภาพซึ่งแต่ละหมู่บ้านที่เข้าร่วมพิธีจะผลัดกันเป็นเจ้าภาพในการนำหมูที่ได้จากการรวบรวมเงินจากคนภายในหมู่บ้านไปซื้อหมูมา 1 ตัว และทำการบวงสรวงบูชาให้แก่ภูตผี และหลังเสร็จสิ้นพิธีจะมีการนำหมูมาประกอบอาหาร โดยจะประกอบอาหาร ณ บริเวณที่ใช้ทำพิธี ทั้งปิ้ง ย่าง ลาบ ส้า แกงอ่อม แกงเผ็ด แต่มีข้อห้ามคือ ห้ามนำเนื้อหมูที่ใช้ในการทำพิธีกลับบ้าน ต้องรับประทานภายในบริเวณที่ทำพิธีกรรมเท่านั้น ซึ่งจุดประสงค์ของชาวบ้านที่ทำพิธีคือ เพื่อเป็นการสืบชะตาน้ำตามความเชื่อ ให้ชาวบ้านมีน้ำดื่มน้ำใช้ตลอดทั้งปี และยังเป็นการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว รวมไปถึงความเชื่อเรื่องการขอฝนให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลตลอดทั้งปี
3. พิธีเลี้ยงเจ้าฮ่อง (ร่องน้ำ) คือในความเชื่อของชาวบ้านตำบลศรีถ้อยทั้งตำบล มีความเชื่อว่า บริเวณที่มีลำน้ำ 2สายมาบรรจบกัน จะเรียกว่าสองสบ (น้ำ) และจะมีการทำพิธีสืบชะตาน้ำบริเวณนั้น ซึ่งก็จะจัดทำขึ้นในช่วงเดือน 9 ตามเดือนล้านนา หรือเดือนมิถุนายนตามหลักสากล ซึ่งจะเป็นการทำพิธีของชาวบ้านทั้งตำบลศรีถ้อยจนถึงปัจจุบัน
พ.ศ. 2551 มีการก่อตั้งโรงน้ำดื่มชุมชนบ้านท่าต้นหาด โดยโครงการSMLโดยงบประมาณ 250,000บาท
พ.ศ. 2552 ชุมชนบ้านทุ่งป่าข่า บ้านป่าสัก และบ้านท่าต้นหาด ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่ใจ จังหวัด ยังคงอนุรักษ์ประเพณี"สืบชะตาลำน้ำสองสบ" (หรือสองสาขา) เพื่อการอนุรักษ์แหล่งต้นน้ำ ความชุ่มฉ่ำของผืนดินผืนป่าของชุมชนไว้ทุกปี กิจกรรมมีทั้งเจริญพระพุทธมนต์ สืบชะตาแม่น้ำ สวดนพเคราะห์ สวดคาถาขอฝน นอกจากนี้ยังมีธรรมเทศนาปลาช่อน และ ตานสลากซาวห้า (สลากยี่สิบห้า) เพื่อถวายสิ่งของแก่เทวาอารักษ์ พระพรหมเจ้าที่ที่เคารพนับถือ (สลากภัตที่ใช้ในงานพิธีนี้เป็นการเฉพาะกิจ ซึ่งมีจำนวน 25 สลาก เท่านั้น ต่างจากประเพณีตานก๋วยสลากหรือ สลากภัตทั่วไปซึ่งเป็นการถวายสลากที่ไม่เฉพาะเจาะจงตัวผู้รับได้จำกัดจำนวน) นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรม"บวชป่า" และ"สืบชะตาแม่น้ำ" เป็นการประยุกต์มาจากการบวชคนมาเป็นการบวชป่าและสืบชะตาคนมาสืบชะตาแม่น้ำ พิธีกรรมบวชป่าเป็นพิธีกรรมเรียบง่าย มีพระสงฆ์ร่วมพิธีสวดมนต์ เลือกเอาไม้ที่ใหญ่ที่สุด หรือพญาไม้จำนวนหนึ่งแล้วเอาผ้าเหลืองมาพันรอบต้นไม้ก็เท่ากับได้บวชทั้งป่า เป็นป่าอันศักดิ์สิทธิ์ที่คนร่วมกันรักษาไว้ สำหรับ พิธีกรรม "สืบชะตาแม่น้ำ" จะมีการบวงสรวงเทวดาอารักษ์ เพื่อเป็นการขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาแม่น้ำ เครื่องสืบชะตาประกอบด้วย กระโจมไม้สามขา ท่อนแสก เรียกว่าสะพานเงิน สะพานทอง อีกท่อนหนึ่งจะผูกติดด้วยไม้ค้ำท่อนเล็ก ๆ จำนวนพอประมาณแต่ลงท้ายด้วยเลข 9 เครื่องประกอบอื่น ๆ ได้แก่กระบอกน้ำ หน่อกล้วย อ้อย ลูกมะพร้าว หม้อเงิน หม้อทอง เทียนถุง เมี้ยง บุหรี่ หมากพลู ข้าวตอกดอกไม้รวมกันในกระด้ง บทสวดที่ใช้สืบชะตาแม่น้ำ คือบทสืบชะตาหลวง
ปัจจุบันหมู่บ้านท่าต้นหาด หมู่ที่ 8 ตำบลศรีถ้อย มีจำนวนทั้งหมด 169 หลังคาเรือน ประชากรทั้งหมด 483 คน เป็นหญิง 248 คน เป็นชาย 235 คน มีพื้นที่ในหมู่บ้านประมาณ 2285 ไร่ เป็นพื้นที่การเกษตร 1897 ไร่ อาชีพหลักคือปลูกสวนลิ้นจี่และทำนา
ผู้นำหมู่บ้านท่าต้นหาด ได้แก่
1. นายไหล จันทร์ต๊ะละ | พ.ศ. 2512-2518 |
2. นายบุญศรี ติ๊บเมืองมา | พ.ศ. 2518-2519 |
3. นายคำอ้าย โปทะปัญญา | พ.ศ. 2519-2527 |
4. นายจุ๋มปี ชัยคำ | พ.ศ. 2527-2536 |
5. นายศรีนวล ธิลาใจ | พ.ศ. 2536-2541 |
6. นายสมมิตร โก๋จ๊ะกั่ง | พ.ศ. 2541-2551 |
7. นายศรีทน ติ๊บเมืองมา | พ.ศ. 2551-ปัจจุบัน |
พื้นที่ส่วนใหญ่ของชุมชนเป็นพื้นที่ราบมีลำธารไหลผ่านกลางหมู่บ้าน ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกร พื้นที่หมู่บ้านมีทั้งหมด 2,285 ไร่ พื้นที่ทำการเกษตร 1,897 ไร่
อาณาเขตติดต่อ
- ทิศเหนือ ติดกับ ตำบลเจริญราษฎร์ อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา
- ทิศใต้ ติดกับ บ้านแม่สุก ตำบลแม่สุก อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา
- ทิศตะวันตก ติดกับ อุทยานแห่งชาติดอยหลวง อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง
- ทิศตะวันออก ติดกับ บ้านทุ่งป่าข่า หมู่ 6 ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา
จากการสำรวจของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 4 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีพะเยา ปี 2558 มีบ้านเรือนทั้งหมด 169 หลังคาเรือน จำนวนประชาการที่อาศัยอยู่จริงทั้งหมด 483 คน เพศชาย 235 คน เพศหญิง 248 คน ประชากรที่อาศัยอยู่ที่บ้านท่าต้นหาดเป็นคนพื้นเมือง พูดภาษาถิ่นในการติดต่อสื่อสาร มีการตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มตามเครือญาติ
ผู้ใหญ่บ้าน : นายศรีทน ติ๊บเมื่องมา
ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน : นายผาย จันทร์ยอด, นายพินิจ จันต๊ะละ
การรวมกลุ่มกันอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ มีดังนี้
กลุ่มที่เป็นทางการ
- กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) : มีนายรัชพล เวียงนาค เป็นประธาน มี อสม.รวมประธานทั้งสิ้น 17 คน
- กลุ่มตำรวจบ้าน (สตบ.) : นายสมเกียรติ คำมูล เป็นประธาน มีอาสาสมัคร 19 คน
- อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน : นายเฉลิม ปัญโญทอง เป็นประธาน
กลุ่มที่ไม่เป็นทางการ
- กลุ่มแม่บ้าน : มีนางฟองนวล จันทร์ต๊ะละ เป็นประธาน
- กลุ่มกองทุนสตรี : มีนางแววตา โถธะปัญญา เป็นประธาน
- กลุ่มกองทุนข้าว : มีนายสมเพ็ญ ภาชนนท์ เป็นประธาน
- กองทุนหมู่บ้านและกองทุนปุ๋ย เงินหมุนเวียน : นายศรีทน ติ๊บเมืองมา เป็นประธาน ทั้ง 2 กลุ่ม
- กลุ่มกองทุนผู้สูงอายุ : นายปุ่น อภิวงค์ เป็นประธาน
- กลุ่มน้ำดื่ม : นายศรีทน ติ๊บเมืองมา เป็นประธาน
- กลุ่มแปลงใหญ่แคนตาลูปและเมล่อน อำเภอแม่ใจ
ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม รายรับที่ได้จากการเกษตร คือ การทำสวนลิ้นจี่มากที่สุด รองลงมาคือการทำนา และรับจ้างทั่วไป พืชที่ปลูกส่วนใหญ่ ที่เป็นพืชเศรษฐกิจได้แก่ ลิ้นจี่ แคนตาลูป เมล่อนหอมแดง หอมขาว และผักสวนครัว, สัตว์ที่เลี้ยงส่วนใหญ่ ได้แก่ สุนัข แมว ไก่ และวัว เป็นต้น
วัฒนธรรมประเพณี ตามแบบล้านนา
- เดือนมกราคม (เดือน 4 ล้านนา) : ช่วงต้นเดือนมีการลงแขกเก็บเกี่ยวข้าว กลางเดือนจัดทำพิธี "ตานข้าวใหม่" คือการถวายข้าวที่เก็บเกี่ยวให้แก่พระสงฆ์
- เดือนกุมภาพันธ์ (เดือน 5 ล้านนา) : ทำบุญมาฆบูชา, สรงน้ำพระ, บวงสรวงบนเจ้าหลวงคำแดง
- เดือนมีนาคม (เดือน 6 ล้านนา) : ทำบุญบ้านใหม่ และจัดพิธีแต่งงาน (ส่วนใหญ่จะนิยมทำในช่วงนี้)
- เดือนเมษายน (เดือน 7 ล้านนา) : ประเพณีสงกรานต์รดน้ำดำหัว (ปีใหม่เมือง ถือว่าเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ ชาวบ้านจะเริ่มหยุดงานช่วงวันที่ 13-17 เมษายน เฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ พบปะญาติพี่น้องที่เดินทางมาเยี่ยมญาติ, ครอบครัว เพื่อรดน้ำดำหัวญาติผู้ใหญ่
- เดือนพฤษภาคม (เดือน 8 ล้านนา) : ทำบุญบ้านใหม่ และจัดพิธีแต่งงาน (ส่วนใหญ่จะนิยมทำในช่วงนี้) เช่นกัน
- เดือนมิถุนายน (เดือน 9 ล้านนา) : ประเพณีเลี้ยงผีเจ้าสวน หลังจากเก็บเกี่ยวลิ้นจี่, สืบชะตาแม่น้ำ ชื่อ แม่น้ำสานศพ
- เดือนกรกฎาคม (เดือน 10 ล้านนา) : เลี้ยงผีปู่ย่า, เข้าพรรษา
- เดือนสิงหาคม (เดือน 11 ล้านนา) : ทำบุญเข้าพรรษาสรงน้ำพระ ซึ่งประชาชนให้ความสำคัญในการทำบุญ, วันแม่
- เดือนกันยายน (เดือน 12 ล้านนา) : ตานเปรตพีเหมือนกับตานก๋วยสลากแต่ไม่ได้จัดงานยิ่งใหญ่ แต่วัตถุประสงค์คืออุทิศส่วนบุญกุศลให้กับผู้ล่วงลับเหมือนกัน
- เดือนตุลาคม (เดือน 1 ล้านนา) : ตานก๋วยสลาก ผู้จะถวายสลากภัต จะนำก๋วยสลาก ถวายแด่พระสงฆ์ และมีการให้ศีลให้พรหยาดน้ำอุทิศ ส่วนบุญกุศลให้กับผู้ล่วงลับ, ออกพรรษาสรงน้ำพระ
- เดือนพฤศจิกายน (เดือน 2 ล้านนา) : ลอยกระทง, ฟังเทศน์มหาชาติ
- เดือนธันวาคม (เดือน 3 ล้านนา) : เทศกาลส่งท้ายปีเก่า ขาวบ้านที่ไปทำงานนอกบ้านหรือต่างจังหวัดจะกลับมาที่บ้าน มีการรวมญาติ และฉลองวันสิ้นปี, วันพ่อ
ภาษาพื้นเมืองล้านนา
จุดแข็งของชุมชน
- มีกฎระเบียบหมู่บ้าน ที่ออกโดยชุมชนเอง เพื่อป้องกันและรักษาความสงบเรียบร้อยและปัญหายาเสพติดภายในหมู่บ้าน มีอาสาสมัครรักษาความปลอดภัย
- ประชาชนมีความสามัคคี ให้ความร่วมมือ ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่น สามาถประสานงานด้วยกันได้ดี
จุดอ่อนของชุมชน (ปัญหา/อุปสรรค)
- ชุมชนเดือดร้อน เนื่องจากปัญหาประพฤติของวัยรุ่น การทะเลาะวิวาท ชกต่อย
จุดแข็งของชุมชน
- พื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะกับการประกอบอาชีพทางการเกษตร มีกลุ่มอาชีพต่างๆ ภายในชุมชน เช่น กองทุนหมู่บ้านและกองทุนปุ๋ย
จุดอ่อนของชุมชน (ปัญหา/อุปสรรค)
- มีรายจ่ายในการลงทุนสูงกว่ารายรับในการจำหน่ายผลผลิต
- เกษตรกรมีหนี้สิน ทำให้คนในชุมชนมุ่งแต่ช่วยเหลือตนเองต่างคนต่างเอาตัวรอดไปวันๆ ไม่สนใจคนอื่นในชุมชน ชุมชนจึงขาดการพัฒนา
- เกษตรกรขาดความรู้ในการพัฒนาผลผลิตของตนเองให้มีคุณภาพที่ดี เงินรายได้หมุนเวียนในชุมชนไม่มีประชากรมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การใช้จ่าย ทำให้เกิดหนี้สิน
จุดแข็งของชุมชน
- ประชากรในชุมชนส่วนใหญ่มีการนับถือศาสนาเดียวกัน คือ ศาสนาพุทธ และเป็นสังคมชนบท มีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและการ มีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นระบบเครือญาติ ทำให้มีความสามัคคีกันในชุมชน
- มีบุคคลที่มีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์ เช่น ผู้นำ และประธานกลุ่มต่าง ๆ
จุดแข็งของชุมชน
- ภูมิปัญญาชุมชน โดยมีสมุนไพร มีการใช้ทรัพยากรในชุมชนให้เกิดประโยชน์
- ภายในพื้นที่เป็นลักษณะที่หล่อหลอมมาจากประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น เป็นที่ร่วมกันของคนในชุมชนที่สร้างขึ้นมาเพื่อกำกับดูแลชุมชนให้ดำเนินชีวิตไปตามระบบคุณค่าของชุมชนนั้น ๆ เป็นกฎของหมู่บ้าน
จุดแข็งของชุมชน
- ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีแหล่งน้ำเลี้ยงชีวิต ในป่าไม้มีอาหารและยาสมุนไพรรักษาโรค เช่น มีลำธารไหลผ่านกลางหมู่บ้าน มีหน่อไม้ เห็ด ยาสมุนไพรต่าง ๆ
จุดอ่อนของชุมชน (ปัญหา/อุปสรรค)
- มีแหล่งน้ำไม่เพียงพอต่อการทำเกษตร ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย
- น้ำเน่าเสียทำให้เกิดมลพิษทางกลิ่น มีเชื้อโรคปลอมปน
- ป่าไม้ต้นน้ำถูกทำลาย
Google Maps. (2558). พิกัดแผนที่ชุมชนบ้านท่าต้นหาด. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2558. เข้าถึงได้จาก https://www.google.com/maps
ประวัติจังหวัดในล้านนา จังหวัดพะเยา. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2558. เข้าถึงได้จาก http://wiangsalanna.myreadyweb.com/
พระครูโสภณปริยัติสุธี (ศรีบรรดร ถิรธมฺโม.). (2552). ชื่อบ้าน-ภูมิเมืองพะเยา. พะเยา : เจริญอักษร.
พระครูโสภณปริยัติสุธี, รศ.ดร. ถิรธมฺโม. ชื่อบ้าน-ภูมิเมืองอำเภอแม่ใจ.
กรมทรัพย์สินทางปัญญา.(2562). ประกาศโฆษณาการรับขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ลิ้นจี่แม่ใจพะเยาพันธุ์ฮงฮวย. https://www.ipthailand.go.th/
บุญเลิศ ครุฑเมือง. (2537). ผีปู่ย่า : ศรัทธาแห่งล้านนาไทย. สารคดี “ฮีตฮอยเฮา”. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ
ราชกิจจานุเบกษา. (2481). ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องแบ่งท้องที่ตั้งเป็นกิ่งอำเภอ. เล่ม 80 ตอนที่ 14. 5 กุมภาพันธ์ 2506.
ราชกิจจานุเบกษา. (2481). พระราชกฤษฎีกา ตั้งอำเภอศรีสวัสดิ์ อำเภอศรีสวัสดิ์ อำเภอท่าคันโท อำเภอดอกคำใต้ อำเภอเม่ใจ อำเภอจุน ฯลฯ. เล่ม 82 ตอนที่ 59. 27 กรกฎาคม 2508
พะเยาทีวี. หลวงพ่อศรีเหลา แม่ใจ พระผู้บวชป่า/ต้นไม้คนแรกของประเทศไทย. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2565. เข้าถึงได้จาก https://www.facebook.com/
พระครูมานัสนทีพิทักษ์ พระผู้พิทักษ์สายน้ำและผืนป่า ผลงานรางวัลลูกโลกสีเขียว ประจำปี 2543. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2559. เข้าถึงได้จาก http://pttinternet.pttplc.com/