Advance search

สามเหลี่ยมทองคำ

เป็นบริเวณที่แม่น้ำโขงและแม่น้ำรวกมาบรรจบกัน หรือที่เรียกว่า สบรวก เป็นพรมแดนระหว่างประเทศไทย ลาว พม่า บริเวณนี้จึงเป็นจุดแลกเปลี่ยนสินค้าที่สำคัญ และยังมีทัศนียภาพสวยงามดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมชม

เวียง
เชียงแสน
เชียงราย
ปวินนา เพ็ชรล้วน
13 ก.ค. 2023
ปวินนา เพ็ชรล้วน
28 ก.ค. 2023
ปวินนา เพ็ชรล้วน
28 ก.ค. 2023
สบรวก
สามเหลี่ยมทองคำ

ตั้งอยู่บริเวณที่แม่น้ำรวกและแม่น้ำโขงไหลบรรจบกัน จึงเรียกว่า สบรวก


ชุมชนชนบท

เป็นบริเวณที่แม่น้ำโขงและแม่น้ำรวกมาบรรจบกัน หรือที่เรียกว่า สบรวก เป็นพรมแดนระหว่างประเทศไทย ลาว พม่า บริเวณนี้จึงเป็นจุดแลกเปลี่ยนสินค้าที่สำคัญ และยังมีทัศนียภาพสวยงามดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมชม

เวียง
เชียงแสน
เชียงราย
57150
20.3508319
100.0822970
เทศบาลนคร

"สามเหลี่ยมทองคำ" เป็นแนวตะเข็บชายแดนรอยต่อสามประเทศ คือ ไทย พม่า ลาว มีพื้นที่ประมาณ 1.5 แสน ตร.ม. ภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน มีชนกลุ่มน้อย กองกำลังติดอาวุธอาศัยอยู่หลายกลุ่ม พื้นที่แถบนี้เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางว่าเป็นแหล่งปลูกฝิ่นและผลิตยาเสพติดแหล่งใหญ่ มีโรงงานผลิตเฮโรอีนกระจายอยู่ตามตะเข็บชายแดน การลำเลียงฝิ่นใช้คาราวานล่อลัดเลาะไปตามไหล่เขา มีกองกำลังคุ้มกัน ราคาซื้อขายยาเสพติดว่ากันว่าแลกเปลี่ยนด้วยทองคำ ในน้ำหนักที่เท่ากัน  ยางข้นเหนียวของฝิ่นดิบ จึงถูกเรียกว่า ทองคำ พื้นที่แถบนี้จึงถูกขนานนามว่า "สามเหลี่ยมทองคำ"

สามเหลี่ยมทองคในเขตประเทศไทย มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่บ้านสบรวก หมู่ที่ 1 บลเวียง อเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ชุมชนนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำาโขง ซึ่งเป็นเขตแดนระหว่างประเทศไทยและสปป.ลาว บรรจบกับแม่น้ำรวกบริเวณตอนบนของหมู่บ้าน เดิมชาวสบรวกเรียกชื่อหมู่บ้านของตนว่า “บ้านเมืองเกี๋ยง” เพราะลห้วยเกี๋ยงไหลผ่านชุมชน ชาวบ้านใช้น้ำจากลาห้วยนี้ เพื่ออุปโภคบริโภคและทาการเกษตร หลังจากหน่วยงานราชการทการสรวจสมะโนครัวเมื่อปี พ.ศ. 2481 จึงเปลี่ยนชื่อเป็นหมู่บ้านสบรวก ตามลักษณะการบรรจบกันของแม่น้ำโขงและแม่น้ำรวก

สบรวกเป็นชุมชนเก่าแก่ จากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสพบว่า หมู่บ้านแห่งนี้มีร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์ ก่อนการตั้งถิ่นฐานของชาวสบรวก เพราะพบซากกแพงเมืองและเศษอิฐปรักหักพังทั่วบริเวณ เพื่อทความเข้าใจประวัติศาสตร์ชุมชนสบรวก สามาถรถแบ่งพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของหมู่บ้านสบรวกได้ 3 ช่วงเวลา โดยมีรายละเอียดดังนี้

1) หมู่บ้านสบรวกยุคแรกเริ่ม (พ.ศ. 2481- พ.ศ. 2516)

สบรวกเป็นชุมชนพหุชาติพันธุ์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2446 ชาวไทใหญ่จากเมืองสาด เมืองพง รัฐฉานในเมียนมาร์ เริ่มอพยพหลบหนีภัยสงครามและภาวะโรคระบาดเข้ามาตั้ง ถิ่นฐานที่บ้านสบรวก นอกจากนีมี้คนไทลื้อ และคนท้องถิ่น ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าคนไทใหญ่ เลือกเดินทางมาตั้ง ถิ่นฐานที่บ้านสบรวก เพราะเป็นพื้น ที่เหมาะสมต่อการตั้ง ชุมชน มีพื้น ที่ราบ และหนองน้ำ เพื่อทำการเกษตร หาปลาหรือของป่า อีกทั้ง มีต้นไม้ขนาดใหญ่โดยเฉพาะไม้สักที่มีความแข็งแรงเหมาะแก่การนำมาสร้างที่อยู่อาศัย การตั้ง หมู่บ้านระยะแรกมีสมาชิกประกอบด้วย 4 ครอบครัวใหญ่คือ พรหมปัญญา โกฏยี่ คำซอน และนันทวดี ต่อมาคนสบรวกเริ่มชักชวนเครือญาติจากบ้านเกิด ให้อพยพมาอาศัยที่บ้านสบรวก และสามารถจับจองที่ดินตามที่ตนต้องการ สบรวกยุคแรกเริ่มเป็นชุมชนขนาดเล็ก ชาวบ้านตั้ง บ้านเรือนอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน เพราะกลัวอันตรายจากสัตว์ชาวบ้านมีความสัมพันธ์แบบเครือญาติทั้งภายในชุมชนและแบบข้ามแดน กล่าวคือ คนสบรวกสามารถรักษาสายสัมพันธ์ข้ามแดนกับเครือญาติ ซึ่งอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเดิมในเมียนมาและสปป.ลาว เห็นได้จากการเดินทางไปเยี่ยมญาติ หรือการแบ่งปันเครื่องใช้ ข่าวสารซึ่งกันและกัน

 2) บ้านสบรวกในวิถีการเปลี่ยนแปลงของรัฐไทยและประเทศเพื่อนบ้าน (พ.ศ. 2517-พ.ศ. 2540)

นโยบายของรัฐไทยและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศเพื่อนบ้านล้วนส่งผลต่อหมู่บ้านสบรวกในฐานะหมู่บ้านชายแดน ซงึ่ สัมพันธ์กับอำนาจจากรัฐส่วนกลาง และได้รับผลกระทบจากสภาพการเมืองของสปป.ลาว กล่าวคือเมื่อ พ.ศ. 2518 คณะประชาชนปฏิวัติลาว ประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นการปกครองภายใต้ระบบสังคมนิยมพร้อมเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น “สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว” การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของ สปป.ลาว ส่งผลกระทบต่อวิถีการผลิตของคนสบรวก เพราะไม่สามารถเดินทางข้ามแม่น้ำ โขงไปใช้ที่ดินฝั่งสปป.ลาวนอกจากนี้การพัฒนาเศรษฐกิจด้วยธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้การประกอบอาชีพของคนสบรวกมีวิถีที่ต่างจากอดีตกล่าวคือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517-2518 สามเหลี่ยมทองคำซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอาณาบริเวณครอบคลุมหมู่บ้านสบรวกเริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งท่องเที่ยว เมื่อนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศที่เดินทางมาชมทัศนียภาพของสามเหลี่ยมทองคำและแม่น้ำ โขงมีจำนวนเพิ่มขึ้นกระทั่งผู้ใหญ่บ้านบ้านสบรวกในขณะนั้น คือ นายสาย ภิระบรรณ นายม้าว พรหมปัญญา ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และดาบตำรวจศักดิ์ มีแนวคิดสร้างแผ่นป้ายด้วยไม้สักแกะสลักเป็นคำว่า “สามเหลี่ยมทองคำ” เพื่อประชาสัมพันธ์ดินแดนสามเหลี่ยมทองคำให้สังคมภายนอกรู้จักและเป็นจุดถ่ายภาพของนักท่องเที่ยวอีกด้วยบ้านสบรวกเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ที่ชาวต่างชาติเดินทางมาเยือนเพราะมีเขตติดต่อกับบ้านดอยสะโง้ ซึ่งเป็นหมู่บ้านของกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า ความหมายของสามเหลี่ยมทองคำที่ถูกกล่าวถึงในฐานะแหล่งแลกเปลี่ยนฝิ่นกับทองคำ คำบอกเล่าลักษณะนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากงานเขียนและเรื่องเล่าที่ชาวต่างชาติเหล่านี้นำไปเผยแพร่สู่สาธารณะ

 3) หมู่บ้านสบรวกยุคทุนนิยมและการพัฒนาตามกรอบภูมิภาคนิยม (พ.ศ.2540-ปัจจุบัน)

หลังเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำเมื่อปี พ.ศ. 2540 สามเหลี่ยมทองคำ บ้านสบรวกได้รับการเยียวยาสภาพเศรษฐกิจ จากภาครัฐด้วยความคาดหวังว่าโครงการพัฒนาจะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว และฟื้นฟูบรรยากาศการท่องเที่ยวการค้าบริเวณชายแดนให้กลับมาเฟื่องฟูดังเดิม โครงการแรกคือ การปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ จากนั้นมีการจัดมหกรรมคอนเสิร์ตมิตรภาพสามเหลี่ยมทองคำ เมื่อวันที่ 23-25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว อีกทั้ง มีการจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Tambon One Product:OTOP) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของท้องถิ่น ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศเดินทางมาท่องเที่ยวที่สามเหลี่ยมทองคำเพิ่มขึ้น ต่อมาแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ (พ.ศ. 2545-2549) ซึ่งให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจโดยเฉพาะมิติท่องเที่ยวและบริการ ด้วยการส่งเสริมประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในกลุ่มอาเซียนและอินโดจีน เห็นได้จากการพัฒนาโครงสร้างพื้น ฐานเพื่อเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านนอกจากนี้รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ให้สามารถรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในแต่ละปี โดยตั้ง เป้าหมายว่าการพัฒนาด้านการท่องเที่ยว และบริการสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ รวมถึงเพิ่มอัตราการจ้างงานและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น

บ้านสบรวกตั้งอยู่บริเวณที่แม่น้ำรวกและแม่น้ำโขงไหลบรรจบกัน ซึ่งก่อให้เกิดชายแดนระหว่างประเทศไทย ประเทศพม่า และประเทศลาวมีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้ทิศเหนือ      ติดต่อกับ  สหภาพพม่า โดยมีแนวเขตเริ่มจากแม่น้ำรวกเชิงดอย หนองโค้ง  ทิศใต้         ติดต่อกับ  ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน ตำบลหนองป่าก่อ กิ่งอำเภอดอยหลวง และตำบลโยนก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย  ทิศตะวันออก  ติดต่อกับ  สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีแนวเขตเริ่มต้นจากแม่น้ำรวกบรรจบแม่น้ำโขง  ทิศตะวันตก   ติดต่อกับ  เขตตำบลโยนก ตำบลป่าสัก และตำบลศรีดอนมูล อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

เทศบาลตำบลเวียง มีประชากร 2,282 หลังคาเรือน จำนวนประชากร 8,366 คน แยกเป็น ชาย 3,674 คน หญิง 4,692 คน ความหนาแน่นเฉลี่ย 262 คน / ตารางกิโลเมตร

การประกอบอาชีพของคนสบรวกเริ่มสัมพันธ์กับการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เห็นได้จากช่วงปี พ.ศ. 2518 ชาวบ้านสบรวกเริ่มนำผลผลิตทางการเกษตรที่ตนเพาะปลูกได้ เช่น มันแกว ส้มโอ มะพร้าว มาจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยว เมื่อการท่องเที่ยวมีบทบาทต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนสบรวกเพิ่มขึ้น อีกทั้งเพื่อเป็นการจัดสรรผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม ชาวบ้านจึงรวมกลุ่มตั้ง สหกรณ์เพื่อจำหน่ายสินค้าที่ระลึก ระยะแรกเป็นสินค้าที่คนสบรวกผลิตเอง เช่น ไม้กวาดทางมะพร้าว เครื่องจักสาน มันเกรียบ และผลไม้

นอกจากนี้ชาวบ้านเดินทางไปซื้อเครื่องปั้นดินเผาจากเมืองพงในเมียนมาร์เพื่อนำมาจำหน่าย ต่อมาชาวบ้านเริ่มผลิตเครื่องปั้นดินเผาภายในชุมชน ใช้ดินจากห้วยน้ำเย็นเป็นดินที่มีคุณภาพเหมาะต่อการนำมาทเครื่องปั้นดินเผา อีกทั้งชาวบ้านได้คิดค้นพัฒนารูปทรงเครื่องปั้นดินเผาให้มีความหลากหลายเป็นภาชนะที่สามารถใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันและตกแต่งที่อยู่อาศัยได้ รูปแบบสินค้าที่ระลึกเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อสร้างทางเลือกให้แก่นักท่องเที่ยว จากผลผลิตทางการเกษตรและเครื่องปั้นดินเผา เมื่อปี พ.ศ. 2528 คนสบรวกเริ่มจำหน่ายสินค้าที่ระลึก ประเภทเสื้อ ผ้าสำเร็จรูป ไม้แกะสลัก เครื่องปั้นรูปคน เครื่องเขิน ที่รองแก้วฯลฯ สินค้าเหล่านี้ชาวบ้านไปซื้อจากตลาดชายแดนอำเภอแม่สาย แล้วนำมาขายให้แก่นักท่องเที่ยวช่วงนี้คนสบรวกจำนวนมากเริ่มเปลี่ยนอาชีพจากเกษตรกรรมเป็นอาชีพค้าขายสินค้าให้แก่นักท่องเที่ยว

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ทุนวัฒนธรรม

1.) พระพุทธนวล้านตื้อ

พระพุทธนวล้านตื้อ เชียงแสนสี่แผ่นดินเฉลิมพระเกียรติฯ ตั้งอยู่ที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ก่อสร้างขึ้นเนื่องในมหามงคลสมัยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 6 รอบ  72 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.  2547  มีขนาดหน้าตักกว้าง 9.99 เมตร สูง 15 เมตร ประดิษฐาน ณ บริเวณริมแม่น้ำโขงของสามเหลี่ยมทองคำ พระพุทธนวล้านตื้อ เชียงแสนสี่แผ่นดินเฉลิมพระเกียรติฯ เป็นองค์แทนพระเจ้าล้านตื้อองค์จริงที่เชื่อว่าจมน้ำอยู่

ตำนานของพระเจ้าล้านตื้อว่ากันว่าเชียงแสนในยุคก่อนมีเกาะเก่าแก่กลางลำแม่น้ำโขง เป็นที่ตั้งของ วัดพระเจ้าทองทิพย์  อันเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระพทุธรูปสำริดขนาดใหญ่ ซึ่งชาวบ้านกล่าวขานนามว่า “พระเจ้าล้านตื้อ” แปลว่าองค์พระนี้มีขนาดและน้ำหนักมาก สันนิฐานว่าองค์พระคงจมลงไปพร้อมกับเการะดอนแท่น ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณน้ำโขงหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสน 

ต่อมา พ.ศ. 2479 เห็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่โพล่ขึ้นมากลางน้ำที่บริเวณลำน้ำโขงของอำเภอเชียงแสน เป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบโบราณวัตถุทางศาสนา และได้มีการค้นพบมากขึ้น โดยมีความพยายามหลายครั้ง แต่ด้วยบริเวณนั้นเป็นน้ำวนและเชี่ยวมาก การค้นหาพระพุทธรูปที่จมอยู่ในลำน้ำโขง ตั้งแต่การพบครั้งแรกจนกระทั้งถึงทุกวันนี้กว่า 70 ปีแล้วเรื่องราวยังเป็นที่สนใจและถูกเล่าขานผ่านลูกหลานชาวเชียงแสน เมื่อสืบทอดผ่านกันมาจึงกลายเป็นตำนานและนิทานพื้นบ้านพระพุทธรูปนวล้านตื้อ

นอกจากนั้นดินแดนเชียงแสนเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแหล่งประวัติศาสตร์อารยธรรมรวมทั้งพระเจ้าล้านตื้อถือเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงซึ่งหากค้นพบและสามารถนำขึ้นมาจากลำน้ำโขงได้ก็จะอาจมีปัญหาในการอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของจนอาจกลายเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศและพุทธศาสนิกชน ในอนุภาคลุ่มน้ำโขงได้ จึงเห็นชอบร่วมกันว่าควรจะถือเอาพระพุทธรูปเชียงแสนสี่แผ่นดินเฉลิมพระเกียรติฯที่ได้จัดสร้างไว้ถวายเป็นมหามงคลแด่องค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ณ บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ เป็นองค์แทนพระเจ้าล้านตื้อ โดยร่วมใจกันถวายนามว่า พระพุทธนวล้านตื้อ เชียงแสนสี่แผ่นดินเฉลิมพระเกียรติฯ ประทับนั่งบน“เรือแก้วกุศลธรรม” ขนาดเรือกว้าง 22 เมตร ยาวจากหัวเรือถึงท้ายเรือ 89 เมตร  พร้อมกันนั้นก็ได้สร้างซุ้มประตูโขง พระมหาโพธิสัตว์ มีความสูง 9.99 เมตร  ตุงหลวงเฉลิมพระเกียรติ มีความสูง 17.99 เมตร

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล
ธีรภัท ชัยพิพฒน์. (2564). การจัดการความรู้การท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงสร้างสรรค์ในพื้นที่ท่องเที่ยวสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย. วารสารพัฒนศาสตร์, 4(2). 80-127.นมัสการ "พระนวล้านตื้อ" ศิลปะยุคเชียงแสน. (2561). (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2566. เข้าถึงได้จาก: https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/800655พระพุทธนวล้านตื้อ เชียงแสน เชียงราย. (2557). (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2566. เข้าถึงได้จาก: http://www.zthailand.com/place/phra-buddha-nawa-lan-tue-chiang-saen-chiang-rai/สิริสาสน์ พันธ์มณี. (2553). การพัฒนาการท่องเที่ยวที่มีผลต่อชีวิต : กรณีศึกษาสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยนเรศวร.