ลานพรุขนาดใหญ่
เดิมบ้านพรุชื่อว่า "บาโรห" หมายถึง พรุ ซึ่งเป็นพื้นที่ธรรมชาติที่อยู่โดยรอบชุมชน
ลานพรุขนาดใหญ่
พื้นที่โดยรอบหมู่บ้านเป็นพรุและหน้าหมู่บ้านเป็นแม่น้ำสายบุรี รอบ ๆ หมู่บ้านมีลักษณะพื้นที่เป็นเนินเขา มีภูเขาชื่อ คือ "บูเกะโกะ" ซึ่งมีความสูงไม่มาก ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่รอบ ๆ เชิงเขาและบนเขา สาเหตุที่เรียกว่า "บาโรห" เนื่องจากหมู่บ้านบาโรห ล้อมรอบด้วยพรุ ซึ่งปัจจุบันน้ำได้แห้งขอดแล้ว ทำให้พื้นที่ส่วนนั้นเป็นหลุมขนาดใหญ่ เวลาฝนตก สัตว์ที่อาศัยอยู่ตามบาโรหหรือพรุตกหลุมทำให้บาดเจ็บไม่สามารถลุกขึ้นได้หลายครั้ง จนกระทั่งปัจจุบันผู้ใหญ่บ้านตัดสินใจ ขุดพรุนั้นขึ้นกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่เป็นแหล่งหาปลาของชาวบ้านในพื้นที่
บ้านพรุอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอรามันประมาณ 13 กิโลเมตร อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 43 กิโลเมตร การเดินทางมายังชุมชนบ้านพรุ
อาณาเขตติดต่อ
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านปูลามอง หมู่ที่ 6 ตำบลเกะรอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
- ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านกำปงบือแน หมู่ที่ 6 ตำบลจะกว๊ะ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ เขาบูโด อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านตาเน๊าะปุโย๊ะ หมู่ที่ 3 ตำบลเกะรอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
สภาพพื้นที่กายภาพ
สภาพทั่วไปของบ้านพรุ มีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มติดกับแม่น้ำสายบุรี พื้นที่ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นพรุ ลักษณะภูมิอากาศเฉกเช่นเดียวกับภาคใต้ตอนล่างของพื้นที่อื่น กล่าวคือลักษณะภูมิอากาศแบบร้อนชื้น มี 2 ฤดู ได้แก่ ฤดูร้อนและฤดูฝน ลักษณะพื้นที่สามารถแบ่งเป็น 2 ส่วน ด้านในเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน และมีการเพาะปลูกทางการเกษตร เช่น ทุเรียน ยางพารา เงาะ ลองกอง ส่วนพื้นที่ด้านนอก ติดถนนใหญ่เมื่อข้ามถนนใหญ่จะมีพื้นที่ติดกับแม่น้ำสายบุรี บริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยของคนในชุมชน โรงเรียนและมัสยิด
จากข้อมูลการสำรวจของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ปี 2565 ระบุจำนวนครัวเรือน และประชากรชุมชนบ้านพรุ จำนวน 229 หลังคาเรือน ประชากรรวมทั้งหมด 953 คน แบ่งประชากรชาย 437 คน หญิง 516 คน เป็นชาวไทยมุสลิมทั้งหมด คนในชุมชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่รวมกันแบบครอบครัวที่มีความหลากหลายช่วงวัย มีเพียงส่วนน้อยที่อาศัยเป็นครอบครัวเดี่ยว จากรากฐานความสัมพันธ์เชิงเครือญาติทำให้ผู้คนในสังคมมีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ระหว่างกัน
มลายูผู้คนในชุนชนบ้านพรุ มีการรวมกลุ่มที่เป็นทางการ
กลุ่มสตรี เป็นกลุ่มที่จัดขึ้นเพื่อหารายได้แก่สตรีในหมู่บ้านโดยมีการจัดทำขนมต่าง ๆ นำไปขายตามร้านค้าและมีการจัดตั้งกลุ่มเย็บผ้าปักผ้าคลุม ซึ่งผ้าคลุมที่ได้สามารถนำไปขายในตลาดในประเทศและต่างประเทศ
กลุ่มเลี้ยงเป็ด เป็นกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนตำบลเพื่อเป็นการสร้างอาชีพของคนในชุมบ้านพรุแห่งนี้
ด้านกลุ่มอาชีพ พื้นที่แห่งนี้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร ปลูกต้นยาง ทุเรียน ลองกอง ในอดีตพื้นที่ลุ่มบางส่วน รองลงมาประกอบอาชีพรับราชการและค้าขาย
ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกชุมชน ชุมชนส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีการช่วยเหลือกันในชุมชน ร่วมกิจกรรมของชุมชน เช่น งานเมาลิด งานมัสยิด งานแต่งงาน เป็นต้น เป็นชุมชนที่มีพื้นที่ว่างจากการปลูกสร้างที่พักอาศัยน้อยมาก เนื่องจากเป็นชุมชนที่มีพื้นที่แคบ อาศัยอยู่เป็นกลุ่มหรือละแวกใกล้เคียงกับที่อยู่อาศัย ทำให้คนในชุมชนสามารถเข้ากันได้ทุกกลุ่ม โดยส่วนใหญ่จะเป็นเครือญาติที่ตามมาอยู่ในชุมชน
ในรอบปีของผู้คนบ้านพรุ มีวิถีชีวิตทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจที่มีอัตลักษณ์โดดเด่น ดังต่อไปนี้
วิถีชีวิตทางวัฒนธรรม
- กิจกรรมฟื้นฟูค่ำคืนนิสฟูซะห์บาน ค่ำคืนนิสฟูซะห์บานจะตรงตามปฎิทินอิสลาม วันที่ 14 เดือน ซะบาน โดยมีลักษณะกิจกรรม คือ มีการละหมาดฟัรดู อ่านอัลกุรอาน ซูเราะห์ยาซีน 3 จบ ซึ่งแต่ละจบจะมีดุอาร์ ขอพรจากอัลลอฮ์ เมื่อเสร็จพิธีการ มีการกินเลี้ยงร่วมรับประทานอาหาร และอาหารบางส่วนนำแจกจ่ายให้ชาวบ้านในหมู่บ้าน พื้นที่บ้านพรุจะจัดกิจกรรมค่ำคืนนิสฟูซะห์บานที่มัสยิดเป็นประจำทุกปีมีการเชิญผู้รู้ศาสนามาบรรยายให้ความรู้และมีการร่วมรับประทานอาหารอย่างพร้อมเพรียงหลังละหมาด
- ประเพณีการกวนอาซูรอ เป็นการรำลึกถึงความยากลำบากของศาสดา นบีนูฮ โดยเชื่อว่าในสมัยของท่านมีเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ น้ำท่วมโลกเป็นระยะเวลานาน ศาสดานบีนูฮ ซึ่งล่องลอยเรืออยู่เป็นเวลานาน ทำให้อาหารที่เตรียมไว้น้อยลง จึงได้นำส่วนที่พอจะมีเหลือเอามารวมกันแล้วกวนกิน จึงกลายเป็นตำนานที่มาของขนมอาซูรอ
คำว่า "อาซูรอ" คือคำในภาษาอาหรับ แปลว่า การผสม ในที่นี้หมายถึงการนำของที่รับประทานได้ทั้งของคาวและของหวานจำนวน 10 อย่าง มากวนรวมกัน ประเพณีจะจัดในวันที่ 10 ของเดือนมูฮัรรอม ซึ่งเป็นเดือนแรกของฮิจเราะห์ศักราชตามปฏิทินอิสลาม เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาปีใหม่ของมุสลิม ลักษณะกิจกรรมจะมีการรวมตัวของชาวบ้านโดยที่ชาวบ้านจะนำวัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเผือก มัน ฟักทอง กล้วย ข้าวสาร ถั่ว เครื่องปรุง ข่าตะไคร้ หอมกระเทียม เมล็ดผักชี ยี่หร่า เกลือ น่ำตาล กะทิ โดยวัตถุดิบทั้งหมดจะถูกกวนในกระทะเหล็กใช้เวลาเกือบ 6-7 ชั่วโมง โดยต้องกวนตลอด จนกระทั่งสุกแห้ง เมื่อเสร็จเรียบร้อยมีการแจกจ่ายแบ่งปันให้แก่ชาวบ้าน ภาพที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความสัมพันธ์และสามัคคีของคนในชุมชน ชุมชนบ้านพรุจะจัดกิจกรรกวนอาซูรอโดยมีการประกวดการจัดถาดขนมอาซูรอ ซึ่งจะจัดที่มัสยิดใหญ่ของหมู่บ้านทุกปี
- เมาลิดินนบี เป็นวันคล้ายวันประสูติของศาสดามูฮัมหมัด (ซล.) ศาสดาแห่งมนุษยชาติ ผู้ศรัทธาในศาสนาอิสลาม จะมีการรำลึกถึงคุณงามความดี หรือประวัติของท่านในอดีตกาล ในบรรยากาศแห่งความรัก และรำลึกถึงท่านอย่างแท้จริง ซึ่งจะจัดในเดือน เราะบีอุลเอาวัล ซึ่งเป็นเดือนที่ 3 ในปฏิทินอิสลาม
- วันตรุษอิดิลฟิตรี หรือที่นิยมเรียกว่า “วันรายอปอซอ” เพราะหลังจากที่มุสลิมได้ถือศีลอดมาตลอดในเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนที่ 9 ของศาสนาอิสลาม ก็จะถึงวันออกบวช ตอนเช้าจะมีการละหมาดร่วมกัน ทุกคนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สะอาด สวยงาม และมีการจ่าย “ซะกาตฟิตเราะฮ์”
- วันตรุษอิดิลอัฏฮา หรือวันรายอฮัจยี เนื่องจากมุสลิมทั่วโลกเริ่มประกอบพีธีฮัจญ์ ณ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย มีการทำกุรบานหรือการเชือดสัตว์เพื่อเป็นอาหารแก่เพื่อนบ้านและคนยากจน เพื่อขัดเกลาจิตใจให้เป็นผู้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ ตรงกับเดือน ซุลฮิจยะห์ ซึ่งเป็นเดือนที่ 12 ในปฏิทินของศาสนาอิสลาม
- การถือศีลอด เป็นหลักปฏิบัติที่มุสลิมจำเป็นต้องถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ตลอดระยะเวลา 1 เดือน มุสลิมที่มีอายุเข้าเกณฑ์ศาสนบัญญัติจะต้องงด การกิน ดื่ม การร่วมประเวณีตลอดจนทุกอย่างที่เป็นสิ่งต้องห้าม ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนกระทั่งตกดิน ทุกคนต้องสำรวมกาย วาจา ใจ เพราะเดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่มีประเสริฐยิ่งของศาสนาอิสลาม ซึ่งในเดือนนี้ชาวมุสลิมจะไปละหมาดที่มัสยิด ซึ่งเป็นการละหมาดที่ปฏิบัติภายในเดือนรอมฎอนเท่านั้น เรียกว่า “ละหมาดตะรอเวียะห์”
- การละหมาด เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ ซึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวมุสลิม ทุกคนต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยถือว่าเป็นการเข้าเฝ้าผู้ทรงสร้างที่ยิ่งใหญ่ การแต่งกายต้องสะอาด เรียบร้อย มีความสำรวม พระองค์กำหนดเวลาละหมาดไว้วันละ 5 เวลา
- การทำฮัจญ์ อัลลอฮ์ทรงบังคับให้มุสลิมที่มีความสามารถด้านกำลังกาย กำลังทรัพย์ ต้องไปทำฮัจญ์ ณ นครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีขึ้นปีละครั้งชาวมุสลิมทั่วโลกจะเดินทางมารวมกัน เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร มีฐานะทางสังคมอย่างไรต้องมาอยู่ที่เดียวกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ทุกคนมีฐานะเป็นบ่าวของอัลลอฮ์อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นเดือนที่ 12 ในปฏิทินของศาสนาอิสลาม
- การเข้าสุนัต เป็นพิธีกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาวมุสลิม ถือกันว่ามุสลิมที่แท้จริงควรเข้าสุนัต ถ้าไม่ทำถือว่าเป็นมุสลิมที่ไม่สมบูรณ์ ไม่บริสุทธิ์ การเข้าสุนัต คือการขลิบหนังหุ้มอวัยวะเพศของผู้ชายออก เพื่อสะดวกในการรักษาความสะอาด การเข้าสุนัตจะนิยมขลิบในช่วงเดือนเมษายนเนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคการเรียนการสอนของเด็กในพื้นที่ กิจกรรมจะมีการขลิบหนังหุ้มอวัยวะเพศ และมีการเตรียมอาหารเป็นข้าวเหนียวสีต่าง ๆ บางพื้นที่จะมีการขลิบเป็นหมู่คณะ โดยมีเด็กในชุมชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ
การประกอบอาชีพ ประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ได้แก่ สวนยางพารา สวนผลไม้ ค้าขาย บางส่วนเลือกไปทำงานต่างประเทศ เช่น ประเทศมาเลเซีย เป็นต้น
1. นาย มูฮัมหมัด ปูตะ เป็นผู้ใหญ่บ้านพรุ ท่านมีบทบาทในการช่วยเหลือคนในชุมชนจนได้รับความนับถือจากชาวบ้าน อีกทั้งเคยได้รับรางวัลผู้ใหญ่บ้านดีเด่นจากองค์กรต่าง ๆ
อาหาร ผู้คนในพื้นที่ชื่นชอบการจับปลาจากแม่น้ำสายบุรี ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของชุมชนแห่งนี้ ปลาที่ได้จะนำมาปรุงอาหาร เช่น ทอดขมิ้น แกงส้มปลา แกงกะทิปลา เป็นต้น
ประเทศไทยมีจังหวัดที่มีประชากรพูดภาษามลายู คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และบางอำเภอของจังหวัดสงขลา ประชากรที่นี่ส่วนใหญ่เขียนและบันทึกโดยใช้อักษรยาวี ปัจจุบันคนในชุมชนยังคงรักษาไว้ซึ่งภาษาท้องถิ่นของพื้นที่อย่างเหนี่ยวแน่น ปัจจุบันชุมชนบ้านพรุยังคงสื่อสารภาษามลายูท้องถิ่นเป็นหลักซึ่งพบว่ามีการสื่อสารตั้งแต่รุ่นเด็กจนถึงผู้ใหญ่
การเปลี่ยนแปลงของสังคมไปสู่ความทันสมัย ปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คือ การสร้างบ้านเรือนที่มีความทันสมัยมากขึ้นประกอบกับอิทธิพลทางการศึกษาสมัยใหม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากขึ้น
บ้านพรุเผชิญกับความท้าทายด้านทรัพยากรทางธรรมชาติ เนื่องจากเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติน้ำท่วมอย่างหนักในช่วงฤดูฝนเป็นประจำทุกปี อย่างไรก็ตามไม่ได้เป็นปัญหากระทบพื้นที่โดยรวมเนื่องจากพื้นที่น้ำท่วมเกิดเฉพาะในพื้นที่รอบนอกที่เป็นที่ราบลุ่ม แต่ในปัจจุบันชาวบ้านได้มีการปรับตัวโดยการปลูกบ้านเรือนแบบยกพื้นใต้ถุนสูงเพื่อป้องกันน้ำท่วม
ในชุมชนบ้านพรุ มีจุดน่าใจที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว ได้แก่ ร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าโรงเรียนบ้านพรุ
ซูไรดา เจะนิ. (2559). การศึกษาภูมินามของหมู่บ้านในอำเภอรามัน จังหวัดยะลา. ทุนอุดหนุนจากงบประมาณการศึกษาประจำปี 2559. มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา.
กรมการปกครอง. (2565). ระบบสถิติทางการทะเบียน จำนวนประชากร. ออนไลน์. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566. เข้าถึงได้จาก https://stat.bora.dopa.go.th/