
บ้านบุ่ง หมู่ที่ 5 ตำบลศรีภิรมย์ อำเภอพรหมภิราม จังหวัดพิษณุโลก เป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ และเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชนแบบบูรณาการพัฒนาสู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งผลิตสินค้า OTOP ที่น่าสนใจมากมาย เช่น ผลิตภัณฑ์หมวกสาน ผลิตภัณฑ์กล้วยแปรรูป ผลิตภัณฑ์ดอกไม้จันทน์ และผลิตภัณฑ์ไม้กวาดดอกหญ้า
บ้านบุ่ง มาจากคำว่า "บุ่ง" ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่น หมายถึงพื้นที่ที่มีน้ำล้อมรอบ ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 70 ปีที่แล้ว โดยกลุ่มชาวบ้านที่อพยพมาจากพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ภาคเหนือตอนล่าง และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำน่าน มีลักษณะเป็นชุมชนที่มีความเข้มแข็งและรักษาวิถีชีวิตของคนดั้งเดิม โดยชาวบ้านยังคงสืบสานวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น
บ้านบุ่ง หมู่ที่ 5 ตำบลศรีภิรมย์ อำเภอพรหมภิราม จังหวัดพิษณุโลก เป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ และเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชนแบบบูรณาการพัฒนาสู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งผลิตสินค้า OTOP ที่น่าสนใจมากมาย เช่น ผลิตภัณฑ์หมวกสาน ผลิตภัณฑ์กล้วยแปรรูป ผลิตภัณฑ์ดอกไม้จันทน์ และผลิตภัณฑ์ไม้กวาดดอกหญ้า
บ้านบุ่ง มาจากคำว่า "บุ่ง" ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่น หมายถึงพื้นที่ที่มีน้ำล้อมรอบ ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 70 ปีที่แล้ว โดยกลุ่มชาวบ้านอพยพย้ายถิ่นเพื่อแสวงหาที่ทำกินใหม่ อพยพมาจากพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ภาคเหนือตอนล่าง และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำน่าน มีลักษณะเป็นชุมชนที่มีความเข้มแข็งและรักษาวิถีชีวิตของคนดั้งเดิม โดยชาวบ้านยังคงสืบสานวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น
บ้านบุ่ง หมู่ที่ 5 ตำบลศรีภิรมย์ พื้นที่ที่มีลักษณะเป็นที่ราบลุ่ม เหมาะแก่การเพาะปลูก ทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ มีเนื้อที่ประมาณ 8 ตารางกิโลเมตร หรือ 4,592 ไร่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก โดยมีอาณาเขต ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านท่าตำหนัก ตำบลตลุกเทียม
- ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านท้องคุ้ง
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านห้วย
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านซ่อง
บ้านบุ่ง ตำบลศรีภิรมย์ มีจำนวนประชากรทั้งหมด 420 คน แบ่งเป็นเพศชาย 202 คน และเพศหญิง 218 คน ทั้งหมด 124 หลังคาเรือน ภายในหมู่บ้านมีการอยู่ร่วมกันของกลุ่มคนหลากหลายชาติพันธุ์ ประกอบไปด้วย คนไทยภาคกลาง (ลาวเวียง) คนลาวพวน ชาวเขมร (กูย) (ข้อมูลปี 2557) โดยระบบเครือญาติในพื้นที่มีลักษณะเฉพาะที่เน้นการร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ เช่น การจัดการทรัพยากร และการดูแลกันเองในช่วงที่มีความยากลำบาก โดยมีการอาศัยอยู่ร่วมกันภายในกลุ่มครอบครัวขยาย ซึ่งมักจะมี ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อแม่ และลูกหลานอาศัยอยู่ร่วมกันภายในบ้านเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน โดยตระกูลดั้งเดิมจะมีบทบาทในการจัดกิจกรรมทางศาสนาและช่วยรักษาวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น การจัดงานบุญประเพณี การสืบสานประเพณีท้องถิ่นในเทศกาลต่าง ๆ
กูย, ลาวเวียงการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจเป็นกลยุทธ์ที่ชุมชนใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจภายในท้องถิ่น โดยมุ่งเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างสมาชิกในชุมชนเพื่อส่งเสริมการผลิต การตลาด และพัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกในชุมชน เช่น กลุ่มเกษตรกรและการทำเกษตรแบบรวมกลุ่ม, กลุ่ม OTOP, กลุ่มสหกรณ์การเกษตร, กลุ่มประมงและการใช้ทรัพยากรน้ำร่วมกัน, กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงเกษตร และการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน
การรวมกลุ่มด้านสังคม เป็นกระบวนการที่ชุมชนใช้เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ และสร้างความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน มักเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่มีเป้าหมายในการพัฒนาในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ดูแลสุขภาพ ส่งเสริมการศึกษา และการเสริมสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในชุมชน เช่น กลุ่มพัฒนาสตรี, กลุ่มเยาวชน, กลุ่มผู้สูงอายุ, กลุ่มสาธารณสุขชุมชน, กลุ่มอาสาสมัครและกลุ่มช่วยเหลือ และกลุ่มพัฒนาชุมชน
การรวมกลุ่มด้านวัฒนธรรม เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในชุมชนผ่านกิจกรรมและการรักษาประเพณีที่มีอยู่ในท้องถิ่น มีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์และส่งเสริมเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชน พร้อมทั้งสร้างเสริมความภาคภูมิใจในรากฐานทางวัฒนธรรม มักเกี่ยวข้องกับการทำกิจกรรมทางศาสนา ศิลปะพื้นบ้าน และการสืบสานประเพณีต่าง ๆ เช่น กลุ่มสืบสานประเพณีและเทศกาล, กลุ่มการอนุรักษ์ศิลปะและหัตถกรรมพื้นบ้าน, กลุ่มการฟื้นฟูและรักษาภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่น, กลุ่มการพัฒนาและส่งเสริมความรู้ด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่น, กลุ่มศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัย และกลุ่มการสร้างความเข้าใจระหว่างวัย
การรวมกลุ่มด้านการเมือง เป็นกระบวนการที่ชุมชนใช้ในการเข้าถึงและมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง เพื่อส่งเสริมการพัฒนาชุมชนและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจระดับท้องถิ่น มักเกี่ยวข้องกับการร่วมมือในการผลักดันนโยบาย การมีส่วนร่วมการเลือกตั้ง หรือการส่งเสริมการศึกษาด้านการเมือง เช่น กลุ่มพัฒนาชุมชนทางการเมือง, กลุ่มสนับสนุนการเลือกตั้งและการเมืองท้องถิ่น, กลุ่มการเมืองท้องถิ่นหรือกลุ่มอาสาสมัคร, กลุ่มการเคลื่อนไหวเพื่อผลักดันสิทธิของชุมชน, การรวมกลุ่มพัฒนาแนวคิดทางการเมือง และกลุ่มการเมืองเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
ในส่วนของการประกอบอาชีพ ชาวบ้านในชุมชนบ้านบุ่ง ตำบลศรีภิรมย์ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพหลักคือ เกษตรกรรม ทำไร่ ทำนา และอาชีพเสริม คือ จักสาน เย็บผ้า รับจ้างทั่วไป
คนในชุมชนที่ออกไปทำงานนอกชุมชนมักมองหาความเป็นไปได้ในการสร้างรายได้ที่สูงขึ้น หรือเพื่อหาประสบการณ์ในการทำงานที่มีโอกาสในการเติบโตมากขึ้น เช่น งานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ งานในภาคการท่องเที่ยว การทำงานในภาคบริการ แรงงานในอุตสาหกรรมโรงงาน การศึกษาและการฝึกอบรม เป็นต้น
การเข้ามาของคนนอกชุมชนมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยช่วยเพิ่มแรงงานในภาคการเกษตร การก่อสร้าง การบริการ หรืออุตสาหกรรมอื่น ๆ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ นำไปสู่การผสมผสานทางวัฒนธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน
องค์กรภายนอกที่เข้ามาทำงานในชุมชน ได้แก่ องค์กรจากทางภาครัฐ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีบทบาทสำคัญกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานพัฒนาชุมชน ภาคเอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ที่เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาชุมชนผ่านโครงการต่าง ๆ ซึ่งสามารถเสริมสร้างโอกาสทางการเงินและสังคมให้กับชุมชน รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และการส่งเสริมอาชีพ องค์กรพัฒนาเอกชน เช่น มูลนิธิสิ่งแวดล้อม หรือมูลนิธิด้านการศึกษา องค์กรด้านการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ เช่น องค์กรที่เน้นการเสริมสร้างอาชีพให้แก่ผู้ด้อยโอกาสในชุมชน องค์กรภาคเอกชน เช่น บริษัทที่มีโครงการ CSR (Corporate Social Responsibility) สนับสนุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างอาคารเรียน สนับสนุนการศึกษา กลุ่มธุรกิจการเกษตร เช่น บริษัทผู้ผลิตปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ หรือเครื่องมือเกษตร สถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัย
การทำนา ในช่วงฤดูฝน ราวเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม เป็นช่วงการปลูกข้าว โดยเฉพาะนาปีที่เป็นผลผลิตสำคัญของชุมชน ส่วนฤดูเก็บเกี่ยว เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม เริ่มเก็บเกี่ยวข้าวและขายผลผลิตให้กับโรงสารหรือพ่อค้าคนกลาง
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมทางสังคม วัฒนธรรม และศาสนาของกลุ่มต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในรอบปี เช่น ประเพณีสงกรานต์/สรงน้ำพระรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ ในเดือนเมษายนของทุกปี ประเพณีบวงสรวงศาลเจ้าพ่อร่มขาว (เลี้ยงปี) เดือน 6 ของทุกปี (มิถุนายน) ประเพณีแห่เทียนจำนำพรรษาในวันเข้าพรรษาของทุกปี ประเพณีลอยกระทง เดือนพฤศจิกายนของทุกปี ประเพณีเผาเทียนเล่นไฟ ในวันเพ็ญเดือนสิบสอง และงานแข่งขันกีฬาของชุมชนและระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในช่วงธันวาคม-กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นต้น
ปราชญ์ชาวบ้านในชุมชน ได้แก่
1.เพ็ชร พิมพ์พยับ หมู่ 5 มีความสามารถด้านนวดจับเส้น
2.ดอกรัก ตาลป๊อก หมู่ 5 มีความสามารถด้านหมอทำขวัญ
3.ไพรินทร์ อินทร์ค่ำ หมู่ 5 มีความสามารถด้านสานหมวก
4.ฉลอง ประดับลาย หมู่ 5 มีความสามารถด้านทำบายศรี
บุคคลสำคัญในชุมชน ได้แก่
1.ทวี บุญเกิด ผู้นำชุมชนรุ่นแรกที่มีความบทบาทในการบุกเบิกพื้นที่ เป็นผู้วางรากฐานด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ การเกษตร สร้างความสามัคคีภายในชุมชน และประสานงานกับหน่วยงานภายนอก
2.พระครูศรีธรรมานุรักษ์ เจ้าอาวาสผู้ริเริ่มก่อตั้งวัดในชุมชน เป็นที่ตั้งของพระพุทธรูปประจำชุมชนและมีพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ และเจดีย์ที่สร้างขึ้นในสมัยแรก ๆ เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน โดยคาดว่าวัดแรกที่เกิดขึ้นในชุมชนชื่อว่า "วัดบ้านบุ่ง"
พื้นที่บ้านบุ่ง ตำบลศรีภิรมย์ มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การทำการเกษตร เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่อยู่ติดกับแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก ประกอบกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่เป็นพื้นที่ราบลุ่ม ส่งผลให้สมาชิกในชุมชนมีทุนทางเศรษฐกิจที่ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกในชุมชน เช่น กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สมาชิก 113 คน, กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต สมาชิก 123 คน, กลุ่มออมทรัพย์ (กลุ่มตะกร้า) สมาชิก 164 คน, กองทุนพัฒนาสตรี สมาชิก 15 คน, กลุ่มดอกไม้จันทน์ สมาชิก 20 คน และกลุ่มจักสาน สมาชิก 20 คน
ภาษาถิ่นภาคเหนือตอนล่าง ค่อนข้างเป็นกันเองและมีความอบอุ่น เป็นมิตรและตรงไปตรงมา ซึ่งมีสำเนียงพูดที่มีความแตกต่างเล็กน้อยจากภาษาเหนือในจังหวัดอื่น ๆ มักจะมีศัพท์และสำนวนเฉพาะที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมท้องถิ่น
- คำศัพท์เฉพาะ เช่น บ่ง แปลว่า บ้าน
- คำทักทาย เช่น เจ้าหมู่ แปลว่า คุณเป็นอย่างไร
ในยุคต้นบ้านบุ่งอยู่ในรูปแบบชุมชนดั้งเดิมที่มีการปกครองแบบหมู่บ้าน โดยมีผู้นำท้องถิ่นเป็น หัวหน้าหมู่บ้าน ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยและแก้ไขปัญหาภายในชุมชน โครงสร้างการปกครองเรียบร้อย เน้นความสัมพันธ์ในลักษณะเครือญาติ ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น บ้านบุ่งอยู่ในการดูแลของเมืองพิษณุโลก ระบบเจ้าเมือง มีบทบาทสำคัญในการดูแลพื้นที่ โดยมีการแต่งตั้งกำนัน หรือผู้นำชุมชนเพื่อรายงานต่อเจ้าเมือง ในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดการปฏิรูปการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล จึงถูกจัดอยู่ในมณฑลพิษณุโลก และกลายเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอพรหมภิราม ระบบกำนันผู้ใหญ่บ้าน ถูกวางรากฐานให้เข้มแข็ง และการปกครองระดับหมู่บ้านได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หลัง พ.ศ. 2475 ยังคงอยู่ในโครงสร้างการปกครองแบบหมู่บ้าน แต่ได้รับการส่งเสริมให้มีส่วนร่วมกับการปกครองส่วนท้องถิ่น มีการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในพื้นที่ทำให้ชุมชนมีโอกาสบริหารจัดการตนเองมากยิ่งขึ้น และในปัจจุบัน มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น บ้านบุ่งจึงอยู่ภายใต้การดูแลของ องค์การบริหารส่วนตำบลศรีภิรมย์ และผู้ใหญ่บ้านยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำชุมชนระดับหมู่บ้าน ขณะที่ อบต. เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาชุมชน
เดิมเศรษฐกิจในชุมชนเป็นลักษณะ เศรษฐกิจแบบเกษตรกรรม โดยพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำ ดิน และป่าไม้ มักปลูกข้าวและพืชผักเลี้ยงชีพ ใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นหลัก ในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการเรียกเก็บภาษีและส่วย ในลักษณะของผลผลิต เช่น ข้าว ปลา หรือปศุสัตว์ เพื่อสนับสนุนระบบราชการ เริ่มมีการค้าขายสินค้าพื้นบ้าน เช่น หัตถกรรมในพื้นที่ เริ่มมีการใช้ปุ๋ยเคมีและเครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อลดแรงงานและเพิ่มผลผลิตในยุคเศรษฐกิจแบบตลาด หลังปี พ.ศ. 2540 การรวมกลุ่มของวิสาหกิจชุมชนเริ่มได้รับการสนับสนุน เช่น การผลิตข้าวอินทรีย์ หรือแปรรูปผลผลิตเป็นสินค้า OTOP ชาวบ้านบางส่วนออกไปทำงานอุตสาหกรรมหรือเป็นแรงงานในเมืองใหญ่เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ครัวเรือน และในปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีการเกษตร เช่น การปลูกพืชแบบอินทรีย์และการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในชุมชน การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเริ่มถูกพัฒนา เช่น การจัดกิจกรรมท่องเที่ยวชุมชน
ในยุคการศึกษาดั้งเดิมมุ่งเน้นการเรียนรู้ในครอบครัวและชุมชน เช่น การเรียนรู้การเกษตร งานหัตถกรรม วัดมีบทบาทสำคัญในการให้ความรู้ทางศาสนาและจริยธรรม โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้สอน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มมีการจัดตั้งโรงเรียนในวัด โดยสอนวิชาพื้นฐาน เช่น การอ่าน การเขียน และคณิตศาสตร์ เข้าสู่ยุคการศึกษาภาคบังคับ ใน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา โรงเรียนประถมศึกษาเริ่มกระจายตัวในชุมชน เช่น โรงเรียนในตำบลศรีภิรมญลย์ที่รองรับเด็กจากหมู่บ้านต่าง ๆ ยุคของการศึกษาสมัยใหม่นักเรียนเริ่มมีโอกาสเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา โดยเดินทางไปเรียนในอำเภอพรหมภิรามหรือเมืองพิษณุโลก และหลังจากปี พ.ศ. 2560 มีการใช้เทคโนโลยี การศึกษาทางไกลและการเรียนออนไลน์มีความนิยมมากขึ้น ในช่วงวิกฤต เช่น การระบาดของโรค Covid-19 และในปัจจุบันชุมชนมีนโยบายในการส่งเสริมพัฒนาระบบการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การสนับสนุนโครงการทุนการศึกษาและกิจกรรมพัฒนาคุณภาพการศึกษา มีความพยายามส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับผู้ใหญ่ เช่น การจัดอบรมทักษะอาชีพ
แต่เดิมวัฒนธรรมในชุมชนเป็นแบบเรียบง่าย ยึดโยงกับวิถีชีวิตเกษตรกรรม เช่น การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชนสำหรับกิจกรรมทางศาสนา การเรียนรู้ และการรวบรวมกลุ่ม มีประเพณีที่สำคัญ เช่น งานบุญข้าวใหม่ สงกรานต์ และลอยกระทง ในช่วงสมัยรัชกาล 5 เกิดการพัฒนาประเทศ ทำให้เกิดการติดต่อระหว่างชุมชนกับเพื่อนที่อื่น ๆ วัฒนธรรมท้องถิ่นเริ่มรับอิทธิพลจากเมือง เช่น การแต่งกายแบบตะวันตก และการรับประเพณีบางอย่างจากส่วนกลาง ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การใช้ภาษาไทยเริ่มแพร่หลายมากขึ้น ในขณะที่สำเนียงและภาษาถิ่นเริ่มลดบทบาทลง หลัง พ.ศ. 2500 การเข้ามาของเทคโนโลยี เช่น วิทยุ โทรทัศน์ และการเดินทางสะดวกขึ้น ส่งผลให้วัฒนธรรมท้องถิ่นปรับตัวให้เข้ากับกระแสสมัยใหม่ ประเพณีบางอย่าง เช่น พิธีกรรมบวงสรวงป่า การจัดงานบุญพื้นบ้าน ถูกลดบทบาทลง แต่ในปัจจุบันชุมชนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น การฟื้นฟูประเพณีเก่าแก่และการส่งเสริมหัตถกรรมพื้นบ้าน การจัดงานเทศกาลประจำปีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น งานบุญประเพณีลอยกระทง หรือการแสดงวัฒนธรรมท้องถิ่น
ในยุคขยายตัวทางการเกษตร เช่น การปลูกข้าวและพืชเศรษฐกิจ ทำให้ป่าธรรมชาติถูกเปลี่ยนแปลงเป็นที่ดินทำกิน การใช้สารเคมีทางการเกษตรส่งผลต่อคุณภาพดินและน้ำ มีการตัดไม้ทำลายป่าทำให้สัตว์ป่าและความหลากหลายทางชีวภาพลดลง ในปี พ.ศ. 2530-2550 ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การกัดเซาะดิน การเสื่อมสภาพของแหล่งน้ำเริ่มมีมากขึ้น จึงมีการริเริ่มโครงการอนุรักษ์ เช่น การปลูกป่าและสร้างฝายชะลอน้ำ มีการจัดการขยะในชุมชน และในปัจจุบันชุมชนเริ่มปรับตัวด้วยการใช้แนวทางเกษตรอินทรีย์และการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อม และมีการพัฒนาชุมชนเพื่อขยายตัวของพื้นที่อยู่อาศัย ส่งผลต่อการใช้ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ
นอกจากที่กล่าวในข้างต้นชุมชนบ้านบุ่ง ยังมีประเพณีและวัฒนธรรมที่สะท้อนวิธีชีวิตของคนในชุมชนอย่าง ประเพณีบุญข้าวใหม่ ที่จะเกิดขึ้นหลังจากการเก็บเกี่ยวข้าว ชาวบ้านจะนำข้าวใหม่ไปถวายพระและร่วมกันทำบุญเพื่อขอบคุณธรรมชาติ มีการแสดงเพลงพื้นบ้าน และการละเล่นที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตเกษตรกรรม รวมไปถึงการทำสมุนไพรพื้นบ้าน เช่น น้ำสมุนไพรจากหญ้าปักกิ่ง หรือยาหม่องจากพืชท้องถิ่น สะท้อนให้เห็นว่าชาวบ้านในชุมชนบ้านบุ่งมีการใช้ประโยชน์และจัดการทรัพยากรที่มีในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ชนกพร สุทธิสาย. (2561). ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมต่อชุมชนชนบทในภาคเหนือตอนล่าง. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร.
สุภาภรณ์ ใจสมุทร. (2563). การจัดการสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ชนบท: กรณีศึกษาภาคเหนือตอนล่าง. วารสารวิจัยเพื่อการพัฒนา, 15(2), 45-60.
องค์การบริหารส่วนตำบลศรีภิรมย์. (ม.ป.ป.). สภาพทั่วไป. สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2568, https://www.sripirom.go.th
องค์การบริหารส่วนตำบลศรีภิรมย์. (ม.ป.ป.). สถานที่สำคัญ. สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2568, https://www.sripirom.go.th
หมู่บ้าน OTOP นวัตวิถี "บ้านบุ่ง". สืบค้นเมื่อ 7 มกราคม 2568. Facebook. https://www.facebook.com
WordPress. (ม.ป.ป.). บ้านบุ่ง หมู่ที่ 5 ต.ศรีภิรมย์ อ.พรหมภิราม จ.พิษณุโลก. สืบค้นเมื่อ 8 มกราคม 2568, https://banbung05.wordpress.com