
บ้านนาขุนแสนเป็นชุมชนไทยวนเก่าแก่ในพื้นที่จังหวัดราชบุรีที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และตั้งอยู่บนพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ แหล่งปลูกส้มโอขาว ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้ ทั้งยังมีวัฒนธรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นมรดกทางภูมิปัญญาของชาวไทยวน คือ ผ้าจก ซึ่งเป็นรากเหง้าของชาวบ้านนาขุนแสน
ในอดีตที่ตั้งหมู่บ้านเป็นที่ตั้งค่ายทหารพม่าซึ่งมีจำนวนเป็นเรือนแสน เมื่อพม่าถอนทัพกลับคงไว้เพียงวัดที่เรียกว่า "วัดประชุมพลแสน" ภายหลังเมื่อมีการตั้งหมู่บ้านจึงใช้ชื่อว่า "บ้านนาขุนแสน"
บ้านนาขุนแสนเป็นชุมชนไทยวนเก่าแก่ในพื้นที่จังหวัดราชบุรีที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และตั้งอยู่บนพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ แหล่งปลูกส้มโอขาว ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้ ทั้งยังมีวัฒนธรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นมรดกทางภูมิปัญญาของชาวไทยวน คือ ผ้าจก ซึ่งเป็นรากเหง้าของชาวบ้านนาขุนแสน
บ้านนาขุนแสน ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เป็นชุมชนไทยยวนที่สืบเชื้อสายมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรล้านนา โดยเริ่มตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าเมืองเชียงแสนย้ายประชาชนมาอยู่ที่จังหวัดราชบุรี ตั้งแต่ พ.ศ. 2435 โดยบ้านนาขุนแสนเดิมทีคือ บ้านท่าสะแก แต่ต่อมาได้แยกหมู่บ้านออกเป็นหลายส่วน จนมาเป็นบ้านนาขุนแสน (ชุมชนฝั่งซ้ายของแม่น้ำลำภาชี) ในปัจจุบัน ซึ่งที่มาของชื่อมาจากการที่มีทหารพม่าตั้งค่ายอยู่บริเวณชุมชน พอทหารพม่าย้ายกลับจึงเรียกว่า "วัดประชุมพลแสน" (พลทหารพม่ามาตั้งค่ายเป็นแสน) และจึงเป็นที่มาของชุมชนบ้านนาขุนแสนในปัจจุบัน
ชุมชนบ้านนาขุนแสน มีพื้นที่ทั้งหมด 8,000 ไร่ โดยมีลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ราบ มีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านทุ่งศาลา หมู่ที่ 2 และหมู่ที่ 5 ตำบลป่าหวาย
- ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านบ่อ หมู่ที่ 1 ตำบลสวนผึ้ง
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ แม่น้ำลำภาชี
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านห้วยคลุม
สถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร (รายเดือน) สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง รายงานจำนวนประชากรหมู่ที่ 4 บ้านนาขุนแสน ตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 393 คน โดยแยกเป็นประชากรชาย 196 คน ประชากรหญิง 197 คน จำนวนหลังคาเรือนทั้งสิ้น 195 หลังคาเรือน (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2567) โดยประชาชนในหมู่บ้านเป็นชาวไทยวน
ไทยวนสืบเนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติของบ้านนาขุนแสนนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ซึ่งเอื้ออำนวยต่อการทำเกษตรกรรม เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชไร่ โดยเฉพาะบริเวณหุบเขา ริมแม่น้ำลำภาชี และห้วยคลุมนั้นมีดินที่ชุ่มชื้นเหมาะแก่การทำสวนผักและผลไม้ ดังนั้นอาชีพของประชาชนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านจึงประกอบอาชีพทำไร่และทำสวนผลไม้ โดยพืชเศรษฐกิจสำคัญที่สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนเป็นอย่างดี คือ "ส้มโอขาว" ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในตลาด นอกจากนี้ยังมีการรวมกลุ่มผลิตน้ำพริกขายเพื่อเป็นอาชีพเสริม จนปัจจุบันได้กลายเป็นวิสาหกิจชุมชนผลิตน้ำพริกชุมชนนาขุนแสน
วิสาหกิจชุมชนผลิตน้ำพริกชุมชนนาขุนแสน หรือกลุ่มน้ำพริกสตรี บ้านนาขุนแสน เป็นกลุ่มอาชีพที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้เสริมให้แก่กลุ่มแม่บ้านและผู้สูงอายุภายในชุมชน เป็นพื้นที่ซึ่งรวบรวมกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับอาหารทั้งการผลิตวัตถุดิบ การเก็บรักษาวัตถุดิบ การเตรียมอาหาร การแปรรูปวัตถุดิบ และการรับประทาน ซึ่งจะมีการรวมตัวกันและพริกแกง
นอกจากการผลิตน้ำพริกเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนแล้ว บ้านนาขุนแสนยังมีโรงเพาะเห็ดครบวงจร เป็นโรงเห็ดที่มีบดอัดเชื้อเห็ดเอง เมื่อเชื้อเห็ดนั้นหมดอายุจะนำไปตากแดดและนึ่งเชื้อในเตาเพื่อฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรียต่าง ๆ ก่อนนำมาหยอดเชื้อและนำกลับไปเพาะอีกครั้ง โรงเพาะเห็ดครบวงจรบ้านนาขุนแสนมีความเด่นชัดในเรื่องกระบวนการทำอาหารโดยเน้นไปที่การผลิตวัตถุดิบ คือ มีโรงเพาะเห็ด พื้นที่เลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่ หมูและปลา และการเก็บวัตถุดิบ ทั้งนี้ ก็เพื่อเป็นแนวทางการประกอบอาชีพให้แก่ประชาชนในหมู่บ้านให้มีอาชีพ มีรายได้เพียงพอหล่อเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
นอกจากนี้บ้านนาขุนแสนยังได้มีการทำหัตถกรรม คือ การทอผ้าจก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยวน โดยเฉพาะในจังหวัดราชบุรี โดยในระยะแรกการทอผ้าจกนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์ แต่ระยะหลังผ้าจกได้กลายเป็นแหล่งรายได้ และยังเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงของจังหวัดราชบุรี โดยผลิตภัณฑ์จากผ้าจกมีทั้งผ้าซิ่นตีนจก ผ้าขาวม้า ย่ามจก กระเป๋าคาดเอวจก เป็นต้น เอกลักษณ์ของผ้าซิ่นตีนจกของชาวไทยวนในจังหวัดราชบุรี คือ มีความละเอียดอ่อนทั้งด้านการเลือกใช้สีสัน ซึ่งนิยมใช้สีแดงเป็นพื้น ทั้งแดงสดและแดงคร่ำ ด้วยเชื่อว่าสีแดงเป็นสีแห่งพลังและความสดใส นอกจากนี้ยังมีลวดลายที่ประณีตวิจิตรงดงาม โดยลวดลายดั้งเดิมที่ทำสืบทอดต่อกันมา เช่น ลายหักขอเหลียวลายดอกจัน และลายมะลิเลื้อย สำหรับผลิตภัณฑ์ผ้าซิ่นตีนจกของบ้านนาขุนแสนนี้จะมีทั้งที่ทอตามคำสั่งซื้อ ทอเพื่อส่งจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์จังหวัด และจำหน่ายเองในชุมชนสำหรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากในปัจจุบันบ้านนาขุนแสนได้มีการจัดการท่องเที่ยวชุมชนโดยให้ชาวบ้านที่สนใจเปิดบ้านเป็นโฮมสเตย์ รับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาศึกษาเรียนรู้วัฒนธรรมไทยวนบ้านนาขุนแสน เป็นอาชีพใหม่ที่เพิ่งเริ่มขึ้นในหมู่บ้านนาขุนแสนเมื่อไม่นานมานี้
บ้านนาขุนแสนเป็นชุมชนชาวพุทธ แต่ละปีจะมีการจัดงานประเพณีตามวันสำคัญทางศาสนาและตามความเชื่อ โดยจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตามขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของชาวไทยวนที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน เช่น การร้องเพลงพื้นบ้าน รำวงพื้นบ้าน และยังมีประเพณีที่สำคัญ เช่น
1.ประเพณีสลากภัตร เป็นประเพณีทำบุญถวายเครื่องไทยทานแก่พระภิกษุสามเณรโดยไม่เจาะจงผู้รับ
2.ประเพณีทำบุญกลางบ้าน หรือเรียกว่า บุญเลี้ยงบ้าน โดยปกติแล้วจะจัดขึ้นในเดือน 6 หรือประมาณเดือนพฤษภาคม
3.ประเพณีถวายเครื่องเซ่นไหว้เจ้าพ่อสี่วัยและเจ้าแม่พิมพา จัดขึ้นในเดือน 5 ของทุกปี ชาวบ้านจะนำเครื่องเซ่นไหว้ อันประกอบด้วย ไก่หนุ่ม ไก่แก่ เหล้าขาว ขนมต้มแดงต้มขาว มาถวายที่ศาลของเจ้าพ่อ แต่หากชาวบ้านคนใดที่ไม่สะดวกมาถวายที่ศาล ก็สามารถถวายที่บ้านได้ โดยทำการเรียกเจ้าพ่อ เจ้าแม่ให้มารับของเซ่นไหว้ที่บ้านได้เช่นเดียวกัน
4.ประเพณีการรับขวัญเด็ก เป็นการรับขวัญเด็กทารกแรกเกิดหลังออกจากโรงพยาบาล โดยมีวิธีการ คือ เมื่อได้ฤกษ์งามยามดี บรรดาวงญาติต่างมาชุมนุมล้อมกันเป็นวงกลม ให้เด็กที่ทำพิธีรับขวัญอยู่ตรงกลาง จะนำเด็กใส่ไว้ในกระด้ง ผู้อาวุโสที่สุดจุดรูปเทียนบูชาพร้อมทั้งกล่าวอัญเชิญเทวดามาให้คุ้มครองเด็ก ต่อจากนั้นหยิบสายสิญจน์ในพานมาบปัดที่แขนและข้อมือเพื่อปัดเป่าเคราะห์โศกโรคภัยให้ออกไปแล้วจึงผูกข้อมือ ผู้ทำพิธีเอาแป้งกระแจะเจิมที่หน้าผากแล้วใช้ช้อนตักน้ำให้กิน 5 ช้อน พร้อมกล่าวให้พรเป็นอันเสร็จพิธี หลังจากเสร็จพิธีแล้วจะมีการปฏิบัติ ดังนี้
- ให้นำเครื่องบายศรีปากชามและเครื่องกระยาบวชไปเทเซ่นผีไว้กลางแจ้ง นอกจากนั้นให้ห่อผ้าวางไว้ข้างเบาะเด็ก 3 วัน แล้วนำผ้านั้นไปลอยในน้ำที่มีการไหลเวียนอยู่เสมอ เช่น แม่น้ำ เพื่อเพิ่มความเป็นสิริมงคล
- ให้ร่อนกระด้งหมุนไป 3 รอบ แล้วโยน (ยื่นเบา ๆ)ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งรับกระด้งนั้นไว้ ถือว่ารับเป็นแม่อีกคน ตามคำโบราณที่เคยได้ยินกันว่าเด็กทุกคนที่เกิดมาจะมีเทวดาประจำตัว นัยหนึ่ง คือ แม่ซื้อ ชาวบ้านเชื่อว่าแม่ซื้อคือผีที่มีจิตใจริษยา และอาจทำให้เด็กไม่สบายได้ จึงมีการร่อนกระด้งเพื่อเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งที่หวังให้เด็กทารกที่เกิดมามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
ชาวบ้านนาขุนแสนเป็นชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ไทยวนที่สืบเชื้อสายมาจากกลุ่มชาวไทยวน จากเมืองเชียงแสน ซึ่งมีวัฒนธรรมการแต่งกายที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของกลุ่มอย่างชัดเจน แต่เดิมการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่นเหล่านี้จะปรากฏอยู่ในวิถีชีวิตประจำวันของชาวบ้าน และสามารถพบเห็นได้โดยทั่วไป แต่ในปัจจุบันนี้การแต่งกายแบบชาวไทยวนจะมีให้เห็นมากเฉพาะเวลาที่มีกิจกรรมทางสังคม เทศกาลสำคัญ หรืองานบุญประเพณีต่าง ๆ ในบริบทปกติชาวบ้านก็จะแต่งกายตามสมัยนิยมโดยทั่วไป
ด้านวิถีชีวิตของชาวบ้านนาขุนแขนจะอยู่กันอย่างพอเพียง มีการทำเกษตรกรรมโดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ปลูกพืชผักสวนครัว มีการจักสานเครื่องมือเครื่องใช้ไว้ใช้เอง เช่น ตะเข่ง เปลไม้ไผ่ ตะกร้า และมีการจัดจำหน่ายเป็นรายได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีการเก็บผักริมรั้วที่ปลูกเองและที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น ผักกูด ผักบุ้ง เก็บหน่อไม้ เก็บเห็ดและเก็บสมุนไพรในป่าสาธารณะที่ขึ้นตามฤดูกาลมาจำหน่ายและบริโภคเองด้วย
บ้านนาขุนแสนมีพื้นทางธรรมชาติโอบล้อม มีบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นมนตร์เสน่ห์ของชุมชน โดยมีแม่น้ำลำภาชีซึ่งเป็นสายน้ำแห่งชีวิตที่หล่อเลี้ยงชุมชนมาอย่างยาวนาน ทำให้มีการสร้าง "สะพานมิตรภาพชุมพล" หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า "สะพานไทยวน" เป็นสะพานที่คนในชุมชนใช้ในการเดินทางข้ามแม่น้ำ สะพานแห่งนี้มีจุดเด่น คือ มีสีสันสวยงามสะดุดตาเป็นอย่างมาก นอกจากนี้แม่น้ำลำภาชียังเป็นพื้นที่ที่สร้างความอุดมสมบูรณ์ทางระบบนิเวศ ทำให้เกิดป่าไม้ที่เขียวชอุ่มตลอดสองฝั่งแม่น้ำ ทั้งยังมีพื้นที่ป่าชุมชน และมีต้นยางใหญ่อายุกว่า 200 ปีที่ชาวบ้านร่วมกันอนุรักษ์และคงไว้เป็นมรดกทางธรรมชาติให้อยู่คู่ชุมชนต่อไป
ภาษาพูด : ไทยวน ภาษาไทกลาง
ภาษาเขียน : อักษณธรรมล้านนา อักษรไทย
วัดประชุมพลแสน เป็นวัดเก่าแก่ประจำชุมชนที่อยู่คู่บ้านนาขุนแสนมาอย่างช้านาน โดยมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาร่วมกันมาตั้งแต่ก่อนตั้งหมู่บ้าน โดยสันนิษฐานว่าบริเวณนี้ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งฐานทัพของกองกำลังทหารพม่า เมื่อเสร็จศึกสงครามและยกพลออกจากพื้นที่จึงคงเหลือเป็นวัดในบริเวณดังกล่าว และขนานนามว่า วัดประชุมพลแสน ซึ่งหมายถึง พื้นที่รวมพลของกองกำลังทหารนับแสนนาย และเชื่อมโยงกับการตั้งชุมชนและที่มาของชื่อชุมชน
วัดประชุมพลแสนเป็นที่เคารพสักการะของคนในชุมชน เป็นศูนย์รวมศรัทธาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้าน ทั้งยังเป็นเป็นศูนย์กลางการจัดกิจกรรม งานบุญประเพณีต่าง ๆ ที่สำคัญ ภายในวัดมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่ชาวบ้านกราบไหว้บูชา คือ หลวงพ่อแกละ ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในศาลา ให้ผู้คนที่แวะเวียนสัญจรไปมาได้กราบไหว้ โดยชาวบ้านมีความเชื่อว่าผู้ที่เข้ามานมัสการขอพรหลวงพ่อแกละจะพบแต่ความโชคดี โดยเฉพาะในด้านของความแคล้วคลาดปลอดภัย นอกจากนี้ภายในวัดยังมีศาลารูปหล่อพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ รวมไปถึงศาลเจ้าแม่ตะเคียนทองที่ชาวบ้านแวะเวียนมากราบไหว้บูชากันอยู่ไม่ขาดสาย
กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. (20 กรกฎาคม 2564). “ผ้าจก”มรดกทางวัฒนธรรมไท-ยวน จังหวัดราชบุรี. สืบค้น 19 กุมภาพันธ์ 2568, จาก https://www.culture.go.th/
ปวรา จันทราจีระธำรงค์. (2558). แนวทางออกแบบสถาปัตยกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยววัฒนธรรมการเกษตรด้านอาหารของชุมชนไทยยวน: กรณีศึกษาชุมชนบ้านนาขุนแสน จังหวัดราชบุรี. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ผ้าน่านบุรี. (9 ธันวาคม 2560). ความรู้เรื่องผ้าไทยวน (ราชบุรี). สืบค้น 19 กุมภาพันธ์ 2568, จาก https://www.facebook.com/
วรรณา โชคบรรดาลสุข กุลยา อนุโลก และ วรลักษณ์ ทองประยูร. (2559). การถ่ายทอดภูมิปัญญาการทอผ้าตีนจกไท-ยวนในจังหวัดราชบุรี. วารสารสมาคมนักวิจัย, 21(1), 171-178.
อุดม สมพร. (2540). ผ้าจกไท-ยวน ราชบุรี. สมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนวัดแคราย.
Jasmine. (2559). บ้านนาขุนแสน จ.ราชบุรี. สืบค้น 19 กุมภาพันธ์ 2568, จาก https://bannakunsan.blogspot.com/