
ชมปราสาทหินพันยอด สัมผัสวิถีชุมชนประมงมุสลิมท่ามกลางธรรมชาติ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์โบราณสถานบ่อเจ็ดลูก บ่อน้ำเก่าแก่ที่เป็นจุดกำเนิดของชื่อหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ในสวนป่าธรรมชาติด้านหลังมัสยิดที่บ้านบ่อเจ็ดลูก
มาจากตำนานบ่อน้ำทั้งเจ็ดที่พบในบริเวณที่ตั้งชุมชน โดยเมื่อก่อตั้งหมู่บ้านนายอับดุลรอหมาน ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เข้ามาดูแลพื้นที่ ได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า "ตาลากาดูโหย๊ะ" ซึ่งเป็นภาษามลายู โดย "ตาลากา" แปลว่า บ่อ และ "ดูโหย๊ะ" แปลว่า เจ็ด รวมความหมายเป็น บ่อเจ็ดลูก แต่เนื่องจากออกเสียงยาก จึงใช้ว่า "บ้านบ่อเจ็ดลูก" มาจนถึงปัจจุบัน
ชมปราสาทหินพันยอด สัมผัสวิถีชุมชนประมงมุสลิมท่ามกลางธรรมชาติ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์โบราณสถานบ่อเจ็ดลูก บ่อน้ำเก่าแก่ที่เป็นจุดกำเนิดของชื่อหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ในสวนป่าธรรมชาติด้านหลังมัสยิดที่บ้านบ่อเจ็ดลูก
ในอดีตชาวเลตีนแดงเผ่ามอแกนซึ่งมีลักษณะการอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ไม่แน่นอน ได้เดินทางมายังเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งทางตอนใต้ของทะเลอันดามันเพื่อค้นหาน้ำดื่ม จนเกิดเป็นตำนานบ่อน้ำทั้งเจ็ดขึ้นมา จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าชาวเลนั้นมีถึงสามตำนาน แต่ไม่มีเรื่องใดที่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด
ตำนานที่หนึ่งเล่าว่า ชาวเลได้เดินหาน้ำจนพบกับบ่อน้ำผุดจากใต้ดินจำนวนเจ็ดบ่อ บ่อแรกมีขนาดใหญ่เรียกกันว่า บ่อพ่อ ส่วนที่เหลือประกอบด้วยบ่อแม่ และบ่อลูก ซึ่งมีขนาดลดหลั่นกันไป เชื่อกันว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถขอพรหรือกล่าวสิ่งใดก็ได้ตามใจปรารถนา แล้วจะมีการร้องรำทำเพลงและนำไก่ขาวมาเชือดเพื่อแก้บน
ตำนานที่สองเล่าว่า เมื่อชาวเลต้องการน้ำก็ได้ขุดบ่อน้ำขึ้นมาหนึ่งบ่อ ซึ่งใช้งานไปเรื่อย ๆ จนมีบุตรจำนวน 6 คน ความต้องการน้ำจึงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการถกเถียงกันในครอบครัว พ่อจึงเรียกลูก ๆ มาปรึกษาหารือ และมีข้อสรุปว่าให้แต่ละคนขุดบ่อน้ำคนละบ่อ ใกล้ ๆ กับบ่อพ่อ จากบ่อเดียวจึงกลายเป็นเจ็ดบ่อ
ตำนานที่สามเล่าว่า ชาวเลเมื่อได้เดินทางมาพักที่เกาะนี้ก็ได้ตั้งรกรากที่นี่ และได้ขุดบ่อน้ำเพื่อใช้ บ่อแรกที่ขุดพบว่าน้ำเค็มใช้ไม่ได้ จึงขุดต่อไปจนถึงบ่อที่เจ็ดซึ่งปรากฏว่าเป็นน้ำจืด จึงเริ่มใช้งานอย่างต่อเนื่อง
ต่อมาในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง มีชายคนหนึ่งชื่อว่านายอับดุลรอหมาน ปากบารา เดิมเป็นคนในพื้นที่บ้านตะโละใส ซึ่งทำการค้าขายกับรัฐปีนัง โดยขายสินค้า เช่น แป้ง สบู่ และน้ำตาล ได้เข้ามาอาศัยอยู่ใบพื้นที่นี้ และด้วยความรู้ด้านศาสนาอิสลาม นายอับดุลรอหมานได้เป็นผู้บุกเบิกสร้างมัสยิดและสอนศาสนาอิสลามให้กับชาวเลที่อาศัยอยู่ก่อน จากนั้นได้ดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ เมื่อเวลาผ่านไป นายอับดุลรอหมานได้ชักชวนเครือญาติมาอยู่ด้วย ทำให้จำนวนประชากรเพิ่มขึ้น แต่ท้ายที่สุดนายอับดุลรอหมานพร้อมครอบครัวจำเป็นต้องอพยพจากเกาะนี้ไปหาที่อยู่อาศัยใหม่ เนื่องจากไม่ต้องการให้จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอีกในพื้นที่เดิม
ในสมัยรัชกาลที่ 7 นายอับดุลรอหมานได้รับการแต่งตั้งเป็นขุน (ในปัจจุบันเทียบเท่ากับตำแหน่งกำนัน) และได้รับพระราชทานนามสกุลว่า ขุนบาราบุรีรักษ์ ได้เข้ามาบริหารปกครองท้องถิ่นในพื้นที่นี้ และได้เรียกสถานที่แห่งนี้ตามสัญลักษณ์ว่า "ตาลากาดูโหย๊ะ" ซึ่งเป็นภาษามาลายู โดย "ตาลากา" แปลว่า บ่อ และ "ดูโหย๊ะ" แปลว่า เจ็ด รวมความหมายเป็น บ่อเจ็ดลูก จากนั้นได้ทำการขึ้นทะเบียนกับทางราชการเพื่อใช้เป็นชื่อเรียกของหมู่บ้าน อย่างไรก็ตามเนื่องจากชื่อเรียกมีความยาก จึงได้เปลี่ยนเป็นชื่อภาษาไทยว่า "บ้านบ่อเจ็ดลูก" ซึ่งใช้มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
บ้านบ่อเจ็ดลูกตั้งอยู่ในหมู่ที่ 1 ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ติดกับทะเลอันดามัน ชาวบ้านในชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงเป็นหลัก ขณะที่อาชีพค้าขายเป็นอาชีพรองลงมา หมู่บ้านนี้อยู่ห่างจากอำเภอละงูประมาณ 18 กิโลเมตร และมีลักษณะเป็นชุมชนชนบท มีอาณาเขตติดต่อ ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ หมู่ที่ 6 บ้านสนใหม่ ตำบลแหลมสน อำเภอละงู จังหวัดสตูล
- ทิศใต้ ติดต่อกับ หมู่ที่ 2 บ้านปากบารา ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ หมู่ที่ 7 บ้านปีใหญ่ ตำบลกำแพง อำเภอละงู จังหวัดสตูล
- ทิศตะวันตก จดทะเลอันดามัน
ลักษณะภูมิอากาศ
บ้านบ่อเจ็ดลูกตั้งอยู่บนพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และตะวันออกเฉียงเหนือ มี 2 ฤดู คือ ฤดูร้อนและฤดูฝน
- ฤดูร้อน จะเริ่มต้นตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม สิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม โดยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ สภาพอากาศทั่วไปร้อนและมีความชื้นต่ำ
- ฤดูฝน จะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม จนสิ้นสุดที่เดือนธันวาคม โดยได้รับอิทธิพลมากจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้มีฝนตกชุกตลอดฤดู
การคมนาคม
การเดินทางสู่บ่อเจ็ดลูกมี 2 เส้นทาง ประกอบด้วย ทางรถ จากอำเภอละงูประมาณ 18 กิโลเมตร นั่งรถใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที และทางเรือ จากท่าเทียบเรือบ้านปากบาราถึงท่าเทียบเรือบ้านบ่อเจ็ดลูก ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินเรือประมาณ 15 นาที
สถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร (รายเดือน) สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง รายงานจำนวนประชากร หมู่ที่ 1 บ้านบ่อเจ็ดลูก ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล มีประชากรทั้งสิ้น 1,078 คน แยกเป็นประชากรหญิง 527 คน ประชากรชาย 551 คน มีจำนวนหลังคาเรือน 294 หลังคาเรือน (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2567)
ชาวบ้านในชุมชนบ้านบ่อเจ็ดลูกอยู่อาศัยแบบพึ่งพาอาศัย มีน้ำใจและเป็นกันเอง พร้อมทั้งมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และมีอัธยาศัยดี การดำเนินชีวิตในชุมชนเรียบง่าย ทุกคนในชุมชนรู้จักกันเหมือนพี่น้อง ชาวบ้านมีความเคร่งครัดในเรื่องของศาสนา โดยมีการสอนการอ่านอัลกุรอาน โดยในชุมชนมีโต๊ะครู (นักวิชาการอิสลาม) ที่มีความเชี่ยวชาญด้านศาสนา และมีการแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับศาสนากันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชาวบ้านได้ใช้หลักการทางศาสนาอิสลามเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
ชาวบ้านในบ่อเจ็ดลูกประมาณ 90% ประกอบอาชีพประมงเป็นหลัก โดยใช้เรือหัวโทงออกสู่ทะเล และใช้อุปกรณ์ประมง เช่น อวนปลา อวนกุ้ง และกอบ เพื่อจับสัตว์น้ำตั้งแต่บริเวณริมชายฝั่งถึงระยะ 5 ไมล์ทะเล สัตว์น้ำที่จับได้ประกอบด้วย ปลาทู ปลาทราย ปลาจาด หมึก และอื่น ๆ ในส่วนของกุ้งนั้นจะเป็นกุ้งแชบ๊วย นอกจากนี้ยังมีการทำไซปลาเก๋าและอวนปลา อวนถ่วง
การออกทะเลของชาวบ้านจะอิงตามปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและฤดูกาลของสัตว์น้ำ ซึ่งมีผลต่อการเลือกใช้อุปกรณ์ประมงที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี การทำประมงของชาวบ้านเป็นการทำประมงขนาดเล็ก ไม่ได้ล้างผลาญทรัพยากรทางทะเล โดยใช้อุปกรณ์จับสัตว์น้ำที่เฉพาะเจาะจง เช่น อวนกุ้ง ซึ่งมุ่งเน้นการจับกุ้งเป็นหลัก กุ้งที่ได้จะมีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงมรสุมที่มีกุ้งชุกชุม
นอกจากนี้ ชาวบ้านยังมีการเลี้ยงปลาและหอยในกระชัง เช่น ปลาเก๋า ปลากะพง และหอยแมลงภู่ โดยบางส่วนเลี้ยงปลาโดยการซื้อพันธุ์ปลา ขณะที่บางส่วนได้มาจากการดักลอบมาเลี้ยงในกระชัง ซึ่งเป็นอาชีพเสริมของชาวบ้านในชุมชนนอกเหนือจากการออกทะเลเพื่อจับสัตว์น้ำ
ทั้งนี้ ชาวประมงจะหยุดทำประมงในช่วงเดือนพฤศจิกายน-เดือนธันวาคมของทุกปี เนื่องจากในช่วงนี้สัตว์น้ำมีน้อย ทะเลที่น้ำใสในช่วงมรสุมตะวันออกทำให้ชาวประมงไม่สามารถจับปลาได้มากนัก โดยหันมาปลูกแตงโมเป็นอาชีพเสริมในระยะเวลา 90 วัน เพื่อทดแทนรายได้ที่หายไปจากการที่ไม่สามารถออกทะเลได้ ในช่วงเวลานี้จะมีพ่อค้าคนกลางเข้ามารับซื้อแตงโมถึงในหมู่บ้าน ซึ่งพันธุ์แตงโมที่มีชื่อเสียงในพื้นที่ ได้แก่ พันธุ์กินรี จินตหรา แตงลาย และดำกา ชาวบ้านจะปลูกแตงโมหลากหลายพันธุ์ตามความนิยมของลูกค้าและความถนัดของผู้ปลูก โดยพันธุ์กินรีถือเป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากให้ผลผลิตที่ดี โดยน้ำหนักของแต่ละลูกจะอยู่ที่ 5-7 กิโลกรัม มีเนื้อแน่น เปลือกบาง รสชาติหวาน สีแดงสด เนื้อเป็นทราย โดยรายได้จากการขยายแตงโมสามารถสร้างรายได้เป็นกอบกำให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านบ่อเจ็ดลูก
ชาวบ้านบางส่วนได้ปลูกพืชผักควบคู่ไปกับการปลูกแตงโม เช่น แตงกวา บวบ ฟักเขียว และถั่วฝักยาว ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการเสริมรายได้ของคนในชุมชน เนื่องจากพบว่าไม่สามารถปลูกแตงโมซ้ำในพื้นที่เดิมได้ จึงมีการหมุนเวียนปลูกผักในปีหนึ่ง ๆ และกลับมาปลูกแตงโมในปีถัดไป โดยดำเนินการเช่นนี้อย่างต่อเนื่องทุกปี
นอกจากนี้ ชาวบ้านยังเลี้ยงโคในที่ดินของตนเองและที่ทุ่งเลี้ยงสัตว์ของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ว่างจากการปลูกแตงโม มีประมาณ 50 ครัวเรือนที่เลี้ยงวัว โดยเฉลี่ยครัวเรือนละ 4-5 ตัว และมีการจัดตั้งกลุ่มเลี้ยงวัวขึ้น นอกจากนี้ยังมีการรับจ้างทั่วไป รวมถึงการหาหอยขายในช่วงฤดูกาลหาหอย และการเจาะหอยนางรม ก็เป็นรายได้ทางเลือกของคนในชุมชนเช่นเดียวกัน
พ.ศ. 2535 หลังเกิดปัญหาเรื่องความเสื่อมโทรมของทะเลและป่าชายเลนรอบหมู่บ้าน ชาวชุมชนบ้านบ่อเจ็ดลูกจึงได้ร่วมกันก่อตั้งกลุ่มท่องเที่ยวชุมชนขึ้น ซึ่งถือเป็นการท่องเที่ยวที่จัดการโดยชุมชนแห่งแรกของจังหวัดสตูล โดยปัจจุบันที่บ้านบ่อเจ็ดลูกมีทั้งการท่องเที่ยวที่จัดการโดยชุมชน และรีสอร์ตชุมชนที่ดำเนินการโดยคนในชุมชนเอง จนกลายเป็นตัวอย่างให้หลายชุมชนทั้งใกล้และไกลเดินทางมาเรียนรู้
กลุ่มองค์กรชุมชน
- กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านบ่อเจ็ดลูก
- กลุ่มออมทรัพย์แม่บ้านเกษตร
- กลุ่มรีสอร์ตชุมชนบ้านบ่อเจ็ดลูก
- กลุ่มเลี้ยงโคบ้านบ่อเจ็ดลูก
- กลุ่มเกษตรผู้เลี้ยงแพะบ้านบ่อเจ็ดลูก
- กลุ่มเยาวชนคนชายเลน
- กลุ่มกีฬาพื้นบ้าน บ้านบ่อเจ็ดลูก
- กลุ่มตัดเย็บและเพ้นท์เสื้อเพื่อจำหน่าย
- กลุ่มเกษตรเลี้ยงแพะ
- กลุ่มท่องเที่ยวชุมชนบ้านบ่อเจ็ดลูก
บ้านบ่อเจ็ดลูกเป็นชุมชนอิสลาม มีมัสยิดบ้านบ่อเจ็ดลูกเป็นศูนย์กลางทางศาสนา โดยวัฒนธรรมประเพณีถือเป็นแบบแผนในการดำเนินชีวิตบนพื้นฐานของหลักศาสนาอิสลามเช่นเดียวกับชาวมุสลิมกลุ่มอื่นในสังคมไทย วิถีชีวิตดังกล่าวสะท้อนให้เห็นผ่านรูปแบบการจัดประเพณีพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญในรอบปี เช่น
1.วันฮารีรายอ ในปีหนึ่งมีสองครั้ง ได้แก่ วันอีดิลฟิตรี และวันอีดิลอัฎฮา วันอีดิลฟิตรีเป็นวันแห่งความสุขของชาวมุสลิมหลังจากที่ถือศีลอดตลอดเดือนรอมฎอน เป็นวันที่ทุกคนจะสวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดและสวยงาม พร้อมทั้งใช้ของที่มีกลิ่นหอมปราศจากแอลกอฮอลล์ และไปละหมาดร่วมกันที่มัสยิดประจำหมู่บ้าน ในวันเดียวกันนี้ชาวมุสลิมจะไปเยี่ยมขออภัยต่อพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครู อาจารย์ และเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันเด็ก ๆ จะได้รับการเลี้ยงอาหารและแจกขนมด้วย
2.วันอีดิลอัฎฮา เป็นวันแห่งความรื่นเริงอีกวันหนึ่งที่คล้ายกับวันอีดิลฟิตรี การปฏิบัติพิธีกรรมในมัสยิดมีความคล้ายคลึง แต่แตกต่างตรงที่ในวันนั้นจะมีการทำกุรบาน ซึ่งเป็นการเชือดสัตว์เพื่อการบริจาค (ต้องทำในวันนั้นโดยเฉพาะ) เป็นทาน (ซอดาเกาะห์) แก่มุสลิมที่มีฐานะยากจน ญาติ และเพื่อนบ้าน การกระทำนี้มีเป้าหมายเพื่อขัดเกลาจิตใจให้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์
สำหรับวันอีดิลอัฎฮาจะนับจากวันอีดิลฟิตรีครบ 70 วัน ซึ่งตรงกับวันที่ 10 เดือนซุลฮิจญะฮ์ (ตามปฏิทินอิสลาม) เป็นวันที่มุสลิมทั่วโลกจะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ส่วนผู้ที่มิได้ไปจะต้องประกอบพิธีละหมาดอีดิลอัฎฮาที่มัสยิดหรือสถานที่ที่จัดขึ้นในชุมชน ในวันนั้นชาวบ้านบ่อเจ็ดลูกจะไปรวมตัวที่มัสยิดเพื่อทำการละหมาดร่วมกันและร่วมรับประทานอาหาร
3.วันเมาลิด เป็นวันคล้ายวันประสูติของนาบีมูฮำหมัด ตรงกับวันที่ 12 เดือนรอบีลอุลเอาวัล (เดือนที่ 3 ตามปฏิทินอิสลาม) ในโอกาสนี้ชาวมุสลิมจะจัดพิธีเมาลิด อาจจัดที่บ้าน มัสยิด หรือสถานที่พิเศษ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของนาบีมูฮำหมัดผู้เป็นศาสดา
ในงานเมาลิด หลังจากรับประทานอาหารแล้วจะมีการอ่านบัรซันญี (หนังสือที่แต่งขึ้นเพื่อสรรเสริญท่านนบีมูฮำหมัด) และตามด้วยการกล่าวสรรเสริญนบี ในระหว่างนี้ ทุกคนจะยืนร่วมในพิธี เมื่ออ่านเสร็จแล้วจะนั่งลงและร่วมกันขอดุอา (ขอพร) ต่อองค์อัลเลาะห์ เป็นอันเสร็จพิธี
4.การเข้าสุนัต หรือคิตาน คือ การขลิบหนังอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศชายที่มีอายุตั้งแต่ 5-15 ปี เป็นพิธีกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของมุสลิม ถือว่าผู้ที่เป็นมุสลิมที่แท้จริงต้องเข้าสุนัต มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นมุสลิมที่ไม่สมบูรณ์ การเข้าสุนัตอาจจัดขึ้นเพียงคนเดียว หรือในบางกรณีเจ้าภาพอาจจัดงานขลิบให้หลายคนพร้อมกัน เพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับผู้ที่ต้องถูกทำการขลิบ
นอกจากขนบธรรมเนียมประเพณีทางศาสนาแล้ว ยังมีธรรมเนียมท้องถิ่น เช่น การชักลากเรือ เป็นการชักลากเรือจากทะเลขึ้นมาซ่อมที่อู่ โดยชาวบ้านประมาณ 10-20 คน ร่วมแรงร่วมใจกัน เป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากวิถีชีวิต คือ ชาวบ้านบ่อเจ็ดลูกส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง ซึ่งต้องใช้เรือออกหาปลา เมื่อเรือชำรุด เจ้าของจะต้องนำเรือขึ้นมาซ่อมแซม โดยการชักลากเรือเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ในชุมชนได้มีการกำหนดและลงประชามติเป็นข้อตกลงร่วมกันว่า หากชาวบ้านคนใดชักเรือขึ้นมาซ่อมแซม เจ้าของเรือต้องบริจาคเงินให้กับมัสยิดอย่างน้อยคนละ 200 บาทเพื่อการกุศล หรือมากกว่านั้นตามความศรัทธา การชักลากเรือนิยมทำกันในวันศุกร์ เนื่องจากทุกคนหยุดงาน และเป็นวันที่ผู้ชายในชุมชนต้องปฏิบัติศาสนกิจร่วมกัน (ละหมาดวันศุกร์) หลังจากเสร็จสิ้นการปฏิบัติศาสนกิจแล้ว ชาวบ้านจะรวมตัวกันเพื่อชักเรือขึ้นมาซ่อม เมื่อซ่อมเสร็จแล้วชาวบ้านจะมารวมกันอีกครั้งเพื่อดึงเรือลง และเจ้าของเรือต้องบริจาคเงินให้กับมัสยิดอีก 200 บาท รวมเป็น 400 บาท เป็นอันเสร็จสิ้นกิจกรรม
แหล่งท่องเที่ยวภายในชุมชนบ้านบ่อเจ็ดลูก
1.โบราณสถานบ่อเจ็ดลูก พื้นที่โบราณสถานนี้มีขนาด 2 ไร่ ได้รับการบูรณะและซ่อมแซมบางส่วน รวมถึงมีการสร้างศาลาโดยใช้งบประมาณจากศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดสตูล นอกจากนี้ยังมีการจัดทำป้ายบอกข้อมูลเกี่ยวกับโบราณสถานด้วย บริเวณนี้มีการปลูกมะพร้าวสองยอดบนเขาช้าง หรือที่เรียกว่าเขาขี้มิ้น (ขมิ้น) มีตำนานเล่าว่า ชายคนหนึ่งจากหมู่บ้านได้เดินทางไปหาขมิ้นที่หมู่บ้านสนกลาง (ปัจจุบัน คือ บ้านสนใหม่ ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 6 ตำบลแหลมสม ซึ่งไม่ไกลจากบ้านบ่อเจ็ดลูก) ขณะเดินทางไปถึงเขาช้าง ได้พบกับเทพองค์หนึ่งที่บอกว่า "ไม่ต้องไปหาขมิ้น แต่ไปกับฉันดีกว่า" ชายคนนั้นจึงเดินตามไป และเทพได้ขุดขมิ้นให้เขา เมื่อกลับถึงบ้านและเปิดดูในกระสอบ ปรากฏว่าขมิ้นทั้งหมดได้กลายเป็นทองคำ ซึ่งทำให้เขาเป็นคนร่ำรวยในเวลาต่อมา ดังนั้นคนในสมัยก่อนจึงเรียกภูเขานี้ว่าเขาขมิ้น และยังคงเรียกเช่นนี้มาจนถึงปัจจุบัน โดยเขาขมิ้นเป็นสัญลักษณ์ของบ้านบ่อเจ็ดลูก ตั้งอยู่ที่ทางเข้าบ้านบ่อเจ็ดลูก มีลักษณะคล้ายช้างกำลังหมอบ
2.ถ้ำลอดเสือสิ้นลาย ชาวบ้านในชุมชนเล่าว่ามีเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่ที่ดุร้ายมักมากินแพะของชาวบ้านอยู่เป็นประจำ เสือตัวนี้อาศัยอยู่ในถ้ำภายในหมู่บ้าน ในคืนวันหนึ่งซึ่งเป็นคืนเดือนมืด ฝนตกหนัก เสือตัวนี้ได้ออกมาที่คอกแพะ ชาวบ้านจึงพยายามใช้ปืนยิงแต่ไม่สามารถทำได้ เสือได้วิ่งหลบเข้าไปในถ้ำ ชาวบ้านจึงนำซากแพะที่ตายแล้วมาวางล่อที่ปากถ้ำ หลังจากนั้นไม่นาน เสือจึงออกมาจากถ้ำอีกครั้ง และในที่สุดก็ถูกยิงจนตาย รุ่งเช้าชาวบ้านแห่กันไปดูเสือที่นอนอยู่ที่ปากถ้ำ คล้ายกับว่ายังมีชีวิตอยู่ จึงเรียกบริเวณที่เสือตายนี้ว่า "ถ้ำลอดเสือสิ้นลาย"
3.ถ้ำฤาษี ในปี พ.ศ. 2506 มีชายคนหนึ่งชื่อ อุทัย สุวรรณฤกษ์ อาศัยอยู่ในจังหวัดพัทลุง ได้เดินทางไปยังเกาะอาดังเพื่อเข้าพักและใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะอาดังเป็นเวลานาน ก่อนที่จะอพยพมาอาศัยอยู่ในถ้ำที่บ้านบ่อเจ็ดลูก ซึ่งในอดีตชาวบ้านเรียกถ้ำนี้ว่า "ถ้ำเสือ" เมื่อนายอุทัยมาพักอาศัยและจำศีลเป็นฤาษีที่ถ้ำแห่งนี้ จึงถูกเรียกขานว่า "ถ้ำฤาษี" จนถึงปัจจุบัน ภายในถ้ำเป็นอุโมงค์ที่มีค้างคาวและนกเข้าไปอาศัย พื้นของถ้ำเป็นดินเหนียวซึ่งไม่เปียกแม้ฝนจะตก ชาวบ้านในอดีตเชื่อว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีผู้คนเดินทางมาขอพรจากเจ้าที่ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ และมักจะกลับไปหายเป็นปลิดทิ้ง ซึ่งเป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมาในชุมชน
4.ถ้ำทอง ถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ด้านหลังโรงเรียนบ้านบ่อเจ็ดลูก ภายในถ้ำมีหินย้อยสีเหลืองอร่ามที่มีความงดงามมาก มีความกว้างประมาณ 6 เมตร สองข้างทางที่เดินเข้าไปในถ้ำมีหินย้อยอยู่ทั้งสองด้าน ความยาวจากปากถ้ำจนถึงด้านในประมาณ 15 เมตร
5.หาดกะสิง ในอดีตหาดนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ "หาดลมหมุน" เนื่องจากมีลมหมุนพัดผ่านตลอดเวลา ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กะสิง" หมายถึง ลูกข่าง เป็นแหล่งหาหอยตะเภาที่มีอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม-เดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี บริเวณหาดแห่งนี้มีร้านอาหารหลายร้าน ทั้งยังมีจุดตั้งแคมป์พักแรม นอกจากนี้ยังเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเกาะต่าง ๆ ได้แก่ เกาะตะรุเตา เกาะอาดัง เกาะราวี เกาะบูโหลน เกาะลิบง และเกาะสุกร จังหวัดตรัง รวมถึงเกาะเล็ก ๆ อื่น ๆ เช่น เกาะหม้อ เกาะเลาเหลียง และเกาะกล้วย ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง และสามารถมองเห็นชาวประมงหาปลาได้อย่างชัดเจน
5.หาดนุ้ย เป็นชายหาดที่มีทรายขาวละเอียดและป่าไม้ล้อมรอบ มีทิวทัศน์ที่สวยงาม เหมาะแก่การท่องเที่ยว ชายหาดนี้มีหินขนาดต่าง ๆ สลับกันอยู่ ผู้คนในอดีตมักมาหาหอย โดยเรียกสถานที่นี้ว่า ทับหอย หาดนุ้ยเป็นส่วนหนึ่งของหาดกะสิง เนื่องจากมีแนวอาณาเขตติดต่อกัน แต่มีเขาขวางกั้น และสามารถเดินถึงกันได้เมื่อระดับน้ำลด ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของปากน้ำรีสอร์ต
6.เขาหาดนุ้ย ตั้งอยู่ติดกับหาดนุ้ย มีทางขึ้นที่ปากน้ำรีสอร์ต เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นทิวทัศน์ทั้งในทะเลและหมู่บ้าน มีลักษณะเป็นหินซับซ้อนเป็นชั้น นักท่องเที่ยวสามารถนั่งชมธรรมชาติและลงเล่นน้ำได้ตลอดเวลา
7.ผาใช้หนี้ ตามตำนานเล่าขานกันว่ามีชายวัยกลางคนไม่ทราบชื่อ ทำอาชีพประมงออกทะเลหาปลา เป็นลูกน้องของเถ้าแก่จีนและมีหนี้สินมากมายจนไม่สามารถชำระหนี้ได้ จึงได้ไปปรึกษาเถ้าแก่เพื่อหาหนทางในการปลดหนี้ โดยยินดีทำตามทุกอย่างที่เถ้าแก่แนะนำ เถ้าแก่จีนจึงมอบภารกิจให้เขากระโดดหน้าผา โดยรับประกันว่าหากเขากล้ากระโดดลงไป ไม่ว่าจะเกิดผลเช่นไร จะยกหนี้ทั้งหมดให้ ชายคนดังกล่าวจึงรับคำท้าและขึ้นไปบนหน้าผา จากนั้นลมเลได้พัดพาเขาไปตกบริเวณอ่าวแห่งหนึ่งในท่านั่งสิหลา (นั่งขัดสมาธิ) ซึ่งทำให้เขารอดชีวิตจากเหตุการณ์นั้น และหนี้สินที่ค้างอยู่ก็หมดไป จึงเป็นที่มาของชื่อ ผาใช้หนี้
8.ปราสาทหินพันยอด ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะเขาใหญ่ มีหินที่ถูกจัดเรียงอย่างซับซ้อนคล้ายยอดปราสาทจำนวนมาก จึงถูกเรียกว่า "ปราสาทพันยอด" ผู้พบเห็นสามารถจินตนาการเป็นรูปต่าง ๆ ได้ เช่น สัตว์หรือปราสาท นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือชมวิวจากด้านล่างของปราสาทหิน ซึ่งมีชายหาดกว้างประมาณ 20 ตารางเมตรให้เล่นน้ำและพักผ่อนได้ตามความต้องการ
9.เกาะเขาใหญ่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในบริเวณอ่าว ซึ่งสามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ภายในเกาะเขาใหญ่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง ได้แก่ อ่าวมะขาม 1 ซึ่งเป็นชายหาดที่มีความยาวประมาณ 300 เมตร ชายหาดมีลักษณะเป็นทรายปนซากปะการัง และถัดจากชายหาดลงไปเป็นแหล่งหอย เช่น หอยเสียบเล็บจง จากชายหาดลงไปประมาณ 70 เมตร จะมีแหล่งปะการังทั้งกัลปังหาและปะการังต้น หากวันใดอากาศดี น้ำทะเลใส จะสามารถมองเห็นปะการังหลากสีสันได้จากชายหาด นอกจากนี้ยังมีทางลาดขึ้นไปยังจุดชมวิว ซึ่งสามารถมองเห็นเกาะต่าง ๆ ในทะเลได้ ด้านหน้าจุดชมวิวเป็นจุดที่ชาวบ้านนิยมมาตกปลา นอกจากนี้ยังมีบ่อน้ำช่องขลาด เป็นแหล่งน้ำจืดที่ไหลผ่านซอกหินจากภูเขาใหญ่ลงสู่ทะเล ในช่วงน้ำขึ้นบริเวณนี้จะจม แต่เมื่อถึงช่วงน้ำลง ชาวประมงจะนำเรือเข้าไปเพื่อเก็บน้ำมาบริโภคในช่วงที่หาปลาและพักผ่อน ในเวลาต่อมาชาวบ้านได้ก่ออิฐเพื่อสร้างแอ่งน้ำรองรับน้ำไว้ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
10.อ่าวโละกะระ เป็นชายหาดที่มีความยาวประมาณ 400 เมตร โดดเด่นด้วยเทือกเขาที่เรียงรายเป็นแนวขาวเหมาะสำหรับการเล่นน้ำและตั้งแคมป์ ลักษณะพิเศษของอ่าวนี้ คือ มีพืชน้ำชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ไพร่น้ำ" ซึ่งเติบโตตามแนวหินที่ทับถมกันมานานหลายปี มีสีเขียวอมเหลือง เมื่อเดินย่ำลงไปจะรู้สึกนุ่ม
11.อ่าวหินงาม มีลักษณะเป็นแนวหินขนาดต่าง ๆ ตั้งเรียงรายเป็นหินลื่น โดยมีสีขาว สีเขียว และสีแดง หินงามที่ตั้งอยู่ด้านบนเป็นจุดที่เหมาะสำหรับการนั่งชมวิว มีคลื่นซัดเข้ามาเป็นระลอก และสามารถมองเห็นทิวทัศน์ทะเลรวมถึงเกาะต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน
12.อ่าวก้ามปู (อ่าวแตหลา) มีลักษณะคล้ายรูปเกือกม้า ในช่วงฤดูฝนจะมีน้ำตกไหลเป็นลำธารอ่าวนี้มีความสงบ ปราศจากคลื่นลม และสามารถเดินทางได้ตลอดทั้งปี ในช่วงน้ำลดต่ำสุดจะเห็นปะการังเรียงรายตลอดแนว และเต่ามักขึ้นมาวางไข่ในอ่าวนี้เป็นประจำ นอกจากนี้ยังมีเพิงถ้ำยาวประมาณ 20 เมตร กว้าง 5 เมตร ซึ่งพบซากเปลือกหอยนางรมอยู่ภายในเพิงถ้ำนั้นอีกด้วย
13.หินตาและหินยาย เป็นผลจากเหตุการณ์เมื่อเรือแตกที่คลองราโหงะ (ในปัจจุบัน) โดยมีคู่สามีภรรยาได้เกาะกระดานเรือและลอยไปในสภาพที่เปลือยเปล่า ขณะนั้นทั้งคู่ได้พบกับโต๊ะจาไหม ผู้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกำลังรุนกุ้งอยู่ เมื่อเห็นสภาพของทั้งคู่ที่ไม่มีเสื้อผ้า โต๊ะจาไหมจึงกล่าวห้ามไม่ให้ทั้งคู่ข้ามน้ำมา แล้วก็ได้สาปให้ทั้งสองกลายเป็นหิน เป็นที่มาของหินตาหินยาย
ภาษาพูด : ภาษาไทยถิ่นใต้ ภาษาไทยกลาง
ภาษาเขียน : อักษรไทย
กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (2565). บ้านบ่อเจ็ดลูก หมู่บ้านชาวประมงมุสลิมที่ซ่อนตัวอยู่กลางธรรมชาติดึกดำบรรพ์. สืบค้น 13 มีนาคม 2568, จาก https://www.halallifemag.com/
การท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านบ่อเจ็ดลูก - ปราสาทหินพันยอด. (25 พฤศจิกายน 2565). ว่างก็มานะมากินตามมีตามเกิด เรามีอาหารทะเลซีฟู้ดสดๆจากทะเลเอาไว้บริการทุกท่านที่มาเยือน. สืบค้น 13 มีนาคม 2568, จาก https://www.facebook.com/
การท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านบ่อเจ็ดลูก - ปราสาทหินพันยอด. (8 ตุลาคม 2566). พักโฮมสเตย์ กินอาหารทะเลตามฤดูกาลแบบบ้านๆ. สืบค้น 13 มีนาคม 2568, จาก https://www.facebook.com/
การท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านบ่อเจ็ดลูก - ปราสาทหินพันยอด. (14 กุมภาพันธ์ 2568). "ราชินีแห่งท้องทะเลอันดามัน"มาบ่อเจ็ดลูก"ต้องชิม"หอยท้ายเภา". สืบค้น 13 มีนาคม 2568, จาก https://www.facebook.com/
ยูหนา หลงสมัน, จำปา มังกะลู, ชฎาพร แดหวัน, ทวีศักดิ์ หวังสบู และ เติมศักดิ์ มรมาศ. (2550). โครงการศึกษาศักยภาพของชุมชนเพื่อการจัดการท่องเที่ยวบ้านบ่อเจ็ดลูก ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล: รายงานฉบับสมบูรณ์. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม.
รีสอร์ทชุมชน&แคมป์ปิ้งบ้านบ่อเจ็ดลูก. (5 กุมภาพันธ์ 2566). ปูเสื่อ ตั้งวงกินข้าวริมหาด...ชาติมันหรอยแรงนิ้พี่น้องเฮ้อ. สืบค้น 13 มีนาคม 2568, จาก https://www.facebook.com/
รีสอร์ทชุมชน&แคมป์ปิ้งบ้านบ่อเจ็ดลูก. (7 พฤศจิกายน 2568). มาเที่ยวได้นะ...พร้อมเสมอ. สืบค้น 13 มีนาคม 2568, จาก https://www.facebook.com/
My life Diaries. (20 สิงหาคม 2566). โบราณสถานบ่อเจ็ดลูก. สืบค้น 13 มีนาคม 2568, จาก https://th.trip.com/
สำนักงานจังหวัดสตูล. (ม.ป.ป.). ปราสาทหินพันยอด. สืบค้น 13 มีนาคม 2568, จาก https://www.satun.go.th/
Local Community. (ม.ป.ป.). ชุมชนท่องเที่ยวบ่อเจ็ดลูก. สืบค้น 13 มีนาคม 2568, จาก https://www.takemetour.com/