ชุมชนที่มีความโดดเด่นทางด้านวัฒนธรรม การอยู่ร่วมกันในชุมชน สภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ
ความเป็นมาของชื่อชุมชนที่มีความต่างกัน กล่าวคือ คำว่า “มาแหร์” เป็นชื่อหมู่บ้านที่มาจากต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ สูงและแปลกกว่าต้นอื่น ๆ ภายหลังมีการออกเสียงเพี้ยนไป จึงกลายมาเป็นชื่อหมู่บ้านว่า “มาแฮ"
ขณะเดียวกันก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ผู้ชายคนหนึ่งชื่อว่านายอิสมาอีล เขาเห็นว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีความสมบูรณ์ตามธรรมชาติ จึงได้มาปักหลักอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ด้วยที่นายอิสมาอีล อยู่ในป่ามานานจึงมีความชำนาญในการดักสัตว์ป่าและหาของป่ามากิน จึงสร้างเครื่องจับสัตว์ป่าให้กับชาวบ้านใกล้เคียงแถวนั้นและยังสอนวิธีจับสัตว์ คำว่า "มาแฮ" เป็นคำเรียกของภาษามลายูถิ่น ส่วนในภาษาไทยแปลว่า ความชำนาญ
ชุมชนที่มีความโดดเด่นทางด้านวัฒนธรรม การอยู่ร่วมกันในชุมชน สภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ
มาแฮ หมายถึง ความชำนาญ เล่ากันว่า มีผู้ชายคนหนึ่งชื่อว่านายอิสมาอีล เขาเห็นว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีความสมบูรณ์ตามธรรมชาติ และมีสัตว์ป่าออกมาให้เห็นบ่อยครั้ง จึงได้มาปักหลักอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ด้วยที่นายอิสมาอีล อยู่ในป่ามานานจึงมีความชำนาญในการดักสัตว์ป่าและหาของป่ามากิน จึงสร้างเครื่องจับสัตว์ป่าให้กับชาวบ้านใกล้เคียงแถวนั้นและยังสอนวิธีจับสัตว์ให้กับชาวบ้าน ปรากฏว่าจับสัตว์ได้จริง ๆ หลังจากนั้นเป็นต้นมาชาวบ้านก็นำวิธีของนายอิสมาอีล มาปรับใช้ในการล่าสัตว์ในชีวิตประจำวัน คำว่า "มาแฮ" เป็นคำเรียกของภาษามลายูถิ่น ส่วนในภาษาไทยแปลว่า ความชำนาญ
ขณะเดียวกันก็มีที่มาของคำว่า"มาแฮ" ที่ต่างออกไป กล่าวคือเป็นชื่อหมู่บ้านที่มาจากชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่งในหมู่บ้านที่พบเห็นหรือเป็นลักษณะเด่น เป็นต้นไม้ประจำหมู่ ที่ผู้คนรู้จักและเรียกจนติดปากจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่และมีลักษณะแปลก เป็นจุดเด่นของพื้นที่อีกด้วย ปัจจุบันต้นไม้มาแฮ ไม่มีให้ได้เห็นในชุมชนแล้ว เนื่องจากมีการโค่นนำมาทำสิ่งปลูกสร้าง บ้านพักอาศัย มีเส้นทางสัญจรสะดวก
บ้านมาแฮ อยู่ห่างออกจากเทศบาลตำบลโกตาบารูประมาณ 7 กิโลเมตร อยู่ห่างจากตัวเมืองยะลา ประมาณ 25 กิโลเมตร การเดินทางสามารถเดินทางด้วยรถส่วนบุคคล รถโดยสารประจำทางได้
อาณาเขตติดต่อ
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านปีแยะ หมู่ที่ 6 ตำบลบือมัง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
- ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านดูซงตาวา หมู่ที่ 3 ตำบลบือมัง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านดูซงตาวา หมู่ที่ 3 ตำบลบือมัง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านปีแยะ หมู่ที่ 6 ตำบลบือมัง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
สภาพพื้นที่ทางกายภาพ
ลักษณะภูมิประเทศ มีทั้งที่เป็นภูเขา ที่ราบสูง และที่ราบลุ่ม ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ เช่น น้ำตกฉัตรมงคล จากการขยายตัวของจำนวนประชากร ทำให้มีการขยายตัวของบ้านเรือนเพิ่มมากขึ้น พื้นที่การเกษตรจึงถูกพัฒนาเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของคนในชุมชน สภาพโดยรวมทั่วไปยังพอมีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ส่วนที่เป็นพื้นที่เกษตรกรรมส่วนมากจะอยู่ในอีกหมู่บ้าน
จากข้อมูลที่สำรวจโดยบัณฑิตอาสาหมู่บ้าน ระบุจำนวนครัวเรือนมีทั้งหมด 296 ครัวเรือน (ข้อมูลปี 2565) จำนวนประชากร 1,304 คน (ข้อมูลปี 2565) ชาย 641 คน หญิง 663 คน ทั้งหมดนับถือศาสนาอิสลาม คนในชุมชนส่วนใหญ่อยู่กันแบบครอบครัว ในละแวกใกล้เคียงมีความหลากหลายช่วงวัย คนในสังคมมีความสัมพันธ์เชิงเครือญาติทำให้คนในสังคมมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ระหว่างกัน
มลายูอาชีพหลัก ทำเกษตรกรรมมีการปลูกพืชเศรษฐกิจและแปลงเกษตรผักสวนครัว
อาชีพเสริม การเลี้ยงโค เลี้ยงแพะ เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลาในกระชังและเย็บผ้า และทำโรงเห็ดนางฟ้า
การซื้อขายแลกเปลี่ยนภายในชุมชน ส่วนใหญ่เป็นสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น อาหาร เครื่องปรุง เนื้อสัตว์ ผักสด ของใช้ในครัวเรือน ผ่านร้านขายของชำในชุมชน โดยมีร้านค้าภายในชุมชนจำนวน 4 ร้าน โดยนำสินค้าจากในพื้นที่และภายนอกมาจำหน่าย
การซื้อขายแลกเปลี่ยนกับคนภายนอก ส่วนใหญ่เป็นพืชเศรษฐกิจที่ได้จากการทำเกษตรกรรม เช่น ทุเรียน ลองกอง มังคุด หรือ ซื้อสินค้าจากรถกับข้าว (รถพุ่มพวง) ที่เข้ามาในชุมชนหรือตลาดนัดภายในชุมชนในช่วงเย็นและพื้นที่ตลาดนัดรอบนอก
การออกไปทำงานนอกชุมชน การออกไปทำงานนอกชุมชน คิดเป็น 23% ของคนในชุมชน และที่ออกไปทำงานต่างประเทศมีอยู่ 3% ออกไปรับจ้างทำงานด้านอุตสาหกรรม พนักงานบริษัททั่วไป แต่ยังกลับมาอาศัยอยู่ในพื้นที่
ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกชุมชน สมาชิกชุมชนส่วนใหญ่อยู่กันเป็นกลุ่มตามโซน เป็นชุมชนที่มีพื้นว่างจากการปลูกสร้างที่พักอาศัยน้อยมาก หรือละแวกใกล้เคียงกับที่อยู่อาศัย ทำให้คนในชุมชนสามารถเข้าได้ทุกกลุ่ม โดยส่วนใหญ่จะเป็นเครือญาติที่ตามมาอยู่ในชุมชน
โครงสร้างอำนาจภายในชุมชน ตามโครงสร้างการปกครอง มีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ทำงานร่วมกับหน่วยงานปกครองท้องถิ่น ส่วนภายในชุมชนมีการทำโครงการต่าง ๆ จากภายนอกและงานขับเคลื่อนชุมชน โดยมีนายอับดุลรอโซ แตสูเด็ง เป็นแกนนำชุมชน
การรวมกลุ่ม ส่วนใหญ่เป็นการรวมกลุ่มกันตามครอบครัวและกลุ่มที่สนิทกันหรือมีช่วงวัยเดียวกัน เช่น กลุ่มแกนนำชุมชนที่ทำงานชุมชนด้านต่าง ๆ กลุ่มเด็กและเยาวชน รวมตัวกันเพื่อจัดกิจกรรมทางศาสนา และทำกิจกรรมร่วมกันในชุมชน ส่วนกลุ่มที่ไม่เป็นทางการส่วนมาก
วัฒนธรรม ประเพณี
ชาวบ้านมาแฮ นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 100 มีการประกอบศาสนกิจรวมกันทุกคืน ทำให้เกิดผลดีในด้านการปฏิบัติศาสนกิจแล้วยังเกิดผลดี คือการสร้างความสามัคคีและการแลกเปลี่ยนทัศนคติ ข่าวสาร กิจกรรมวันสำคัญทางศาสนา มีดังนี้
- เมาลิดินนบี เป็นวันคล้ายวันประสูติของศาสดามูฮัมหมัด (ซล.) ศาสดาแห่งมนุษยชาติ ผู้ศรัทธาในศาสนาอิสลาม จะมีการรำลึกถึงคุณงามความดี หรือประวัติของท่านในอดีตกาล ในบรรยากาศแห่งความรัก และรำลึกถึงท่านอย่างแท้จริง ซึ่งจะจัดในเดือน เราะบีอุลเอาวัล ซึ่งเป็นเดือนที่ 3 ในปฏิทินอิสลาม
- วันตรุษอิดิลฟิตรี หรือที่นิยมเรียกว่า “วันรายอปอซอ” เพราะหลังจากที่มุสลิมได้ถือศีลอดมาตลอดในเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนที่ 9 ของศาสนาอิสลาม ก็จะถึงวันออกบวช ตอนเช้าจะมีการละหมาดร่วมกัน ทุกคนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สะอาด สวยงาม และมีการจ่าย “ซะกาตฟิตเราะฮ์”
- วันอาซูรอ ตรงวันขึ้น 10 ค่ำ เดือนมูฮัรรอม ซึ่งตรงกับเดือนแรกของปฏิทินอิสลาม จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงประวัติของนบีนุฮ์ ตอนเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่
- วันตรุษอิดิลอัฏฮา หรือวันรายอฮัจยี เนื่องจากมุสลิมทั่วโลกเริ่มประกอบพีธีฮัจญ์ ณ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย มีการทำกุรบานหรือการเชือดสัตว์เพื่อเป็นอาหารแก่เพื่อนบ้านและคนยากจน เพื่อขัดเกลาจิตใจให้เป็นผู้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ จะตรงกับเดือน ซุลฮิจยะห์ ซึ่งเป็นเดือนที่ 12 ในปฏิทินของศาสนาอิสลาม
- การถือศีลอด เป็นหลักปฎิบัติที่มุสลิมจำเป็นต้องถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ตลอดระยะเวลา 1 เดือน มุสลิมที่มีอายุเข้าเกณฑ์ศาสนบัญญัติจะต้องงด การกิน ดื่ม การร่วมประเวณีตลอดจนทุกอย่างที่เป็นสิ่งต้องห้าม ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้น จนกระทั่งตกดิน ทุกคนต้องสำรวมกาย วาจา ใจ เพราะเดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่มีประเสริฐยิ่งของศาสนาอิสลาม ซึ่งในเดือนนี้ชาวมุสลิมจะไปละหมาดที่มัสยิด ซึ่งเป็นการละหมาดที่ปฏิบัติภายในเดือนรอมฎอนเท่านั้น เรียกว่า “ละหมาดตะรอเวียะห์”
- การละหมาด เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ ซึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวมุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยถือว่าเป็นการเข้าเฝ้าผู้ทรงสร้างที่ยิ่งใหญ่ การแต่งกายต้องสะอาด เรียบร้อย มีความสำรวม พระองค์กำหนดเวลาละหมาดไว้วันละ 5 เวลา
- การทำฮัจญ์ อัลลอฮ์ทรงบังคับให้มุสลิมที่มีความสามารถด้านกำลังกาย กำลังทรัพย์ ต้องไปทำฮัจญ์ ณ นครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีขึ้นปีละครั้ง ชาวมุสลิมทั่วโลกจะเดินทางมารวมกัน เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร มีฐานะทางสังคมอย่างไรต้องมาอยู่ที่เดียวกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ทุกคนมีฐานะเป็นบ่าวของอัลลอฮ์อย่างเท่าเทียมกัน จะตรงกับเดือน ซุลฮิจยะห์ ซึ่งเป็นเดือนที่ 12 ในปฏิทินของศาสนาอิสลาม
- การเข้าสุนัต เป็นพิธีกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาวมุสลิม ถือกันว่ามุสลิมที่แท้จริงควรเข้าสุนัต ถ้าไม่ทำถือว่าเป็นมุสลิมที่ไม่สมบูรณ์ ไม่บริสุทธิ์ การเข้าสุนัต คือการขลิบหนังหุ้มอวัยวะเพศของผู้ชายออก เพื่อสะดวกในการรักษาความสะอาด การเข้าสุนัตจะนิยมขลิบในช่วงเดือนเมษายนเนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคการเรียนการสอนของเด็กในพื้นที่ กิจกรรมจะมีการขลิบหนังหุ้มอวัยวะเพศ และมีการเตรียมอาหารเป็นข้าวเหนียวสีต่าง ๆ บางพื้นที่จะมีการขลิบเป็นหมู่คณะ โดยมีเด็กในชุมชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
- ประเพณีการกวนอาซูรอ เป็นการรำลึกถึงความยากลำบากของศาสดา นบีนูฮ โดยเชื่อว่าในสมัยของท่านมีเหตการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ น้ำท่วมโลกเป็นระยะเวลานาน ศาสดานบีนูฮ ซึ่งล่องลอยเรืออยู่เป็นเวลานาน ทำให้อาหารที่เตรียมไว้ร่อยหรอลง จึงได้นำส่วนที่พอจะมีเหลือเอามารวมกันแล้วกวนกิน จึงกลายเป็นตำนานที่มาของขนมอาซูรอ
คำว่า "อาซูรอ" คือคำในภาษาอาหรับ แปลว่า การผสม ในที่นี้หมายถึงการนำของที่รับประทานได้ทั้งของคาวและของหวานจำนวน 10 อย่าง มากวนรวมกัน ประเพณีจะจัดในวันที่ 10 ของเดือนมูฮัรรอม ซึ่งเป็นเดือนแรกของฮิจเราะห์ศักราชตามปฏิทินอิสลาม เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาปีใหม่ของมุสลิม ลักษณะกิจกรรมจะมีการรวมตัวของชาวบ้านโดยที่ชาวบ้านจะนำวัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเผือก มัน ฟักทอง กล้วย ข้าวสาร ถั่ว เครื่องปรุง ข่าตะไคร้ หอมกระเทียม เมล็ดผักชี ยี่หร่า เกลือ น้ำตาล กะทิ โดยวัตถุดิบทั้งหมดจะถูกกวนในกระทะเหล็กใช้เวลาเกือบ 6-7 ชั่วโมง โดยต้องกวนตลอด จนกระทั่งสุกแห้ง เมื่อเสร็จเรียบร้อยมีการแจกจ่ายแบ่งปันให้แก่ชาวบ้าน ภาพที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความสัมพันธ์และสามัคคีของคนในชุมชน
1. นายรอเซะ แนหะยอ มีความชำนาญ ด้านเศรษฐกิจรากฐาน/การเลี้ยงปลา โดยยึดหลักความพอเพียงดำรงชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามรอยในหลวง เป็นกรอบแนวคิด ซึ่งมุ่งให้ทุกคนสามารถพึ่งพาตัวเองได้ รวมถึงการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น จนเกิดความยั่งยืน คำว่า พอเพียง คือ การดำเนินชีวิตแบบทางสายกลาง โดยตั้งอยู่บนหลักสำคัญสามประการ คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมี แนวทางการทำการเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง เน้นการเลี้ยงปลาในกระชังเพื่อส่งเสริมอาชีพให้กับคนในหมู่บ้านและยังมีแปลงเกษตรตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ 2 ที่ในชุมชน
อาหาร ขนมโบราณ ตลอดจนแหล่งเรียนรู้ชุมชนที่น่าสนใจหลากหลาย มีศักยภาพที่จะพัฒนาสินค้าและการท่องเที่ยวในชุมชน ทั้งนี้ยังขาดการประชาสัมพันธ์ และการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ และส่งเสริมให้ประชาชนได้ร่วมกันอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรมประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ตลอดจนการรักษาอัตลักษณ์ชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ตลอดจนเพื่อสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ให้ดีขึ้น
การท่องเที่ยว บ้านมาแฮมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่เป็นน้ำตกซึ่งเป็นพื้นที่ทางธรรมชาติที่สร้างรายได้ให้คนในชุมชน เป็นรายได้หมุนเวียนในชุมชนโดยจะมีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในช่วงปิดเทอม
ภาษาที่ใช้พูด : ภาษามลายูท้องถิ่น
ภาษาที่ใช้เขียน : ภาษาไทยกลาง
สถานการณ์การใช้ภาษาของผู้คนในชุมชนส่วนมากใช้ภาษามลายูท้องถิ่นหรือภาษายาวีและบางส่วนใช้ภาษาไทยในการสื่อสารและการเขียน
สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชุมชนที่ปรากฏเห็นได้ชัดในชุมชนคือการเปลี่ยนแปลงทางด้านการศึกษา การคมนาคม ด้านเทคโนโลยีในทุก ๆ ด้าน การเปลี่ยนทางด้านการศึกษาที่มองเห็นได้ชัดเด็กและครูในพื้นที่ขาดความรู้ทางด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ ทำให้เด็กในชุมชนมีการศึกษาที่ล้าหลัง และมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจรายได้ของคนในชุมชน ซึ่งผลกระทบเหล่านี้ล้วนตกไปที่เด็ก ลูกหลานที่อยู่ในพื้นที่
มีจุดน่าสนใจที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว ได้แก่ น้ำตกฉัตรมงคล
คอรีเย๊าะ มะหะมะ. (9 กุมภาพันธ์ 2566). ข้อมูลชุมชนบ้านมาแฮ. (โซเฟีย ลือแบปัตตานี, ผู้สัมภาษณ์)
รอเซะ แนหะยอ. (9 กุมภาพันธ์ 2566). ภูมิปัญญา, ปราชญ์ชุมชน. (โซเฟีย ลือแบปัตตานี, ผู้สัมภาษณ์)
อับดุลรอโซ แตสูเด็ง. (9 กุมภาพันธ์ 2566). สภาพแวดล้อม, ประชากร. (โซเฟีย ลือแบปัตตานี, ผู้สัมภาษณ์)