
ชุมชนตลาดแห่งแรกของเมืองยะลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ผสมผสานความหลากหลายของชาวจีนและมุสลิมที่อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ผ่านความต่างทางศาสนาและวัฒนธรรมได้อย่างมั่นคง
สันนิษฐานว่ามาจากการที่ย่านนี้เป็นศูนย์กลางการค้าของเมืองยะลา อีกทั้งบางข้อมูลบอกว่า ชื่อ "สายกลาง" น่าจะเกิดขึ้นหลังจากการก่อสร้างถนนสายหลัก 2 สาย ได้แก่ ถนนสิโรรส และถนนพิพิธภักดี ในปีประมาณ 2504 ซึ่งทั้งสองถนนขนานกันไปโดยมีถนนสายหนึ่งซึ่งต่อมาชื่อว่า "ถนนยะลา" คั่นอยู่ตรงกลาง ทำให้ผู้คนเรียกบริเวณย่านการค้าดังกล่าวว่า "สายกลาง" ตามลักษณะของตำแหน่งที่ตั้ง
ชุมชนตลาดแห่งแรกของเมืองยะลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ผสมผสานความหลากหลายของชาวจีนและมุสลิมที่อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ผ่านความต่างทางศาสนาและวัฒนธรรมได้อย่างมั่นคง
ย่านสายกลางถือเป็นย่านการค้าแห่งแรกของเมืองยะลา มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานย้อนกลับไปก่อนปี พ.ศ. 2464 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการก่อสร้างทางรถไฟสายใต้ในพื้นที่นี้ โดยในระยะแรกชาวมลายูมุสลิมจากจังหวัดปัตตานีได้เข้ามาซื้อที่ดินและตั้งถิ่นฐานในบริเวณดังกล่าว การตั้งถิ่นฐานของชาวมลายูมุสลิมนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการพัฒนาชุมชนย่านสายกลาง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและสังคมที่มีบทบาทสำคัญในเมืองยะลา
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการอพยพของชาวจีนเข้าสู่ย่านสายกลาง โดยชาวจีนกลุ่มนี้ได้เช่าที่ดินจากชาวมลายูมุสลิมเพื่อนำไปประกอบอาชีพค้าขาย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความหลากหลายทางชาติพันธุ์และเศรษฐกิจในพื้นที่นี้ ชาวจีนได้นำความรู้ ความชำนาญ รวมถึงเครือข่ายทางธุรกิจเข้ามาสนับสนุนการขยายตัวของย่านการค้า ทำให้ย่านสายกลางกลายเป็นพื้นที่ที่มีความคึกคักและหลากหลายทางเศรษฐกิจในช่วงปี 2460
อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 2520 เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในย่านสายกลาง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโครงสร้างกรรมสิทธิ์ที่ดินและรูปแบบการค้าขายในพื้นที่ เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนบทบาททางเศรษฐกิจของกลุ่มชาติพันธุ์ในย่านสายกลาง โดยเฉพาะชาวมลายูมุสลิมที่เริ่มขยายการประกอบกิจการค้าของตนเองอย่างมีนัยสำคัญมากขึ้น เนื่องจากมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและความพร้อมที่จะพัฒนาธุรกิจในพื้นที่เดิมที่ตนถือครอง
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนับเป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า ย่านสายกลางไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเมืองยะลาเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ที่สะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความสัมพันธ์เชิงสังคมระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งร่วมกันสร้างรากฐานความเข้มแข็งและความยั่งยืนของชุมชนในพื้นที่นี้
สำหรับชื่อย่าน "สายกลาง" นั้น แม้จะไม่สามารถระบุวันที่หรือช่วงเวลาที่มาแน่นอนได้อย่างชัดเจนว่าก่อตั้งขึ้นเมื่อใด แต่มีข้อสันนิษฐานว่าชื่อเรียกดังกล่าวน่าจะมาจากการที่ย่านนี้เป็นศูนย์กลางการค้าของเมืองยะลา อีกทั้งบางข้อมูลบอกว่า ชื่อ "สายกลาง" น่าจะเกิดขึ้นหลังจากการก่อสร้างถนนสายหลัก 2 สาย ได้แก่ ถนนสิโรรส และถนนพิพิธภักดี ในปีประมาณ 2504 ซึ่งทั้งสองถนนขนานกันไปโดยมีถนนสายหนึ่งซึ่งต่อมาชื่อว่า "ถนนยะลา" คั่นอยู่ตรงกลาง ทำให้ผู้คนเรียกบริเวณย่านการค้าดังกล่าวว่า "สายกลาง" ตามลักษณะของตำแหน่งที่ตั้ง (แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง, 2546)
สายกลางเป็นย่านการค้าเก่าแก่และสำคัญแห่งแรกของเทศบาลนครยะลา ตั้งอยู่บริเวณสายหลักที่เชื่อมต่อกับถนนสำคัญหลายสาย ได้แก่ ถนนยะลา ถนนระนอง ถนนพิพิธภักดี ถนนพังงา และถนนปราจิณ พื้นที่บริเวณนี้มีลักษณะเป็นเขตเมืองหนาแน่น อาคารพาณิชย์ปลูกสร้างเรียงรายตลอดแนวถนนโดยส่วนใหญ่ดัดแปลงเป็นร้านค้า มีจำนวนครัวเรือนโดยประมาณ 106 หลังคาเรือน ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ใช้เป็นสถานประกอบการทางการค้า มีเพียงประมาณ 10 หลัง ที่ยังใช้เป็นที่พักอาศัยหรือปิดกิจการแล้ว
ย่านสายกลางตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟยะลา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางรางของจังหวัด ทำให้การเดินทางและการขนส่งสินค้าเป็นไปอย่างสะดวก และส่งผลให้ย่านนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของเมืองยะลาอย่างชัดเจน
พื้นที่ของย่านสายกลางมีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปัตตานี ซึ่งไหลผ่านพื้นที่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมือง โดยพื้นที่ของเทศบาลมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความกว้างจากทิศเหนือจรดทิศใต้ประมาณ 7.5 กิโลเมตร และจากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตกประมาณ 3 กิโลเมตร มีพื้นที่ใช้สอยหลากหลาย ได้แก่ ย่านที่อยู่อาศัย พื้นที่ราชการ เขตพาณิชยกรรม และพื้นที่บริการสาธารณะ ซึ่งมีการจัดผังเมืองค่อนข้างเป็นระบบ และมีความหนาแน่นของประชากรในระดับสูงโดยเฉพาะในย่านตลาดสายกลางซึ่งเป็นย่านกลางเมือง
สภาพภูมิอากาศ
จังหวัดยะลามีลักษณะภูมิอากาศแบบร้อนชื้น อยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุมทั้งจากมหาสมุทรอินเดียและอ่าวไทย ทำให้มีฝนตกชุกตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงธันวาคม อุณหภูมิเฉลี่ยค่อนข้างคงที่ ตลอดทั้งปีอยู่ในช่วงประมาณ 24-34 องศาเซลเซียส สภาพภูมิอากาศเช่นนี้ส่งผลดีต่อการอยู่อาศัยและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เนื่องจากไม่เกิดภาวะแห้งแล้งหรือหนาวจัดที่กระทบต่อการค้าขายและการสัญจรในย่านสายกลาง ทำให้ย่านนี้สามารถดำรงสถานะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่อง
ย่านสายกลางถือเป็นชุมชนที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ โดยประชากรหลักประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ที่สำคัญสองกลุ่ม ได้แก่ ชาวมลายูมุสลิม และชาวจีน ซึ่งแต่ละกลุ่มมีบทบาทและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนโดยรวม
1.ชาวมลายูมุสลิม
ชาวมลายูมุสลิมในย่านสายกลางเป็นเจ้าของพื้นที่ดั้งเดิมในบริเวณนี้มายาวนาน โดยมีบทบาทสำคัญในฐานะเจ้าของที่ดิน และเป็นกลุ่มประชากรที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชน ชาวมลายูมุสลิมมักประกอบอาชีพการเกษตร เลี้ยงสัตว์ และค้าขายในระดับท้องถิ่น ก่อนที่จะเริ่มมีส่วนขยายกิจกรรมในภาคธุรกิจการค้ามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากปี พ.ศ. 2520 ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ ชาวมลายูมุสลิมจึงเข้ามามีบทบาทในกิจการค้าปลีก ค้าส่ง รวมถึงธุรกิจบริการต่าง ๆ ที่อยู่ในย่านสายกลาง ส่งผลให้กลายเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม
วัฒนธรรมของชาวมลายูมุสลิมยังคงปรากฏชัดในวิถีชีวิตประจำวัน เช่น ภาษา การแต่งกาย ประเพณีทางศาสนา และเทศกาลที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมัสยิดและศูนย์กลางชุมชนที่เป็นจุดนัดพบสำคัญ นอกจากนี้ ชาวมลายูมุสลิมยังรักษาค่านิยมความสามัคคีและการช่วยเหลือกันในชุมชนไว้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชุมชนย่านสายกลางมีความเข้มแข็งและยั่งยืน
2.ชาวจีน
ชาวจีนในย่านสายกลางเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทโดดเด่นในภาคธุรกิจการค้า โดยชาวจีนเริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานและประกอบกิจการในพื้นที่นี้ตั้งแต่สมัยก่อน และได้พัฒนาเครือข่ายทางธุรกิจที่มั่นคง โดยเฉพาะในภาคการค้าปลีก การนำเข้าส่งออก และธุรกิจบริการ ชาวจีนมีการจัดตั้งสมาคม มูลนิธิ และโรงเรียนจีนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง ซึ่งช่วยรักษาอัตลักษณ์ของชาวจีนได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ชาวจีนยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมและชุมชนต่าง ๆ รวมถึงการสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมของกลุ่มอื่น ๆ ในพื้นที่ ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเชื้อชาติในย่านสายกลาง สถาปัตยกรรมและร้านค้าแบบจีนดั้งเดิมในย่านนี้ยังคงเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้มาเยือน และสะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ผสมผสานในชุมชน
ความหลากหลายทางเชื้อชาติในย่านสายกลางก่อให้เกิดความสมดุลทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ การอยู่ร่วมกันของชาวมลายูมุสลิมและชาวจีนในพื้นที่นี้เป็นตัวอย่างของการสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีความสัมพันธ์อันดี มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และประเพณีซึ่งกันและกันอย่างสันติ โดยมีกลไกทางสังคมและการพึ่งพาอาศัยกันในด้านเศรษฐกิจและชุมชนที่ช่วยส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของทั้งสองกลุ่ม
ทั้งสองกลุ่มนี้ต่างมีบทบาทเสริมกันอย่างลงตัวในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น ชาวจีนมักมีบทบาทด้านธุรกิจการค้าและการลงทุน ขณะที่ชาวมลายูมุสลิมมีบทบาทในด้านการจัดการที่ดินและการพัฒนาชุมชน ทำให้ย่านสายกลางเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างชัดเจน
จีน, มลายูย่านสายกลางในเมืองยะลาเป็นศูนย์กลางการค้าดั้งเดิมที่มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมของเมืองมายาวนาน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ย่านนี้ยังคงรักษาความสำคัญในฐานะพื้นที่ธุรกิจหลักที่ประกอบด้วยร้านค้าอาคารพาณิชย์เรียงรายตลอดแนวถนนสายหลัก ซึ่งเหมาะแก่การเดินจับจ่ายสินค้าหลากหลายประเภท เช่น เสื้อผ้า ผ้าพื้นเมือง เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องสำอาง เครื่องเขียน ทองรูปพรรณ และของเบ็ดเตล็ดทั่วไป
ลักษณะเฉพาะของย่านสายกลางสะท้อนความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์หลักในพื้นที่ คือ ชาวมลายูมุสลิมและชาวจีน ซึ่งต่างมีบทบาทและรูปแบบการค้าขายที่แตกต่างแต่ส่งเสริมและเสริมสร้างกันอย่างกลมกลืน
ชาวมลายูมุสลิมส่วนใหญ่เป็นเจ้าของที่ดินและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในย่านนี้ รวมถึงขยายกิจการค้าปลีกและค้าส่งในสินค้าหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ผ้าพื้นเมือง เครื่องใช้ไฟฟ้า และทองรูปพรรณ นอกจากนี้ ชาวมุสลิมยังดำเนินธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการของชุมชนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ ทำให้ชาวมลายูมุสลิมมีบทบาทเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยรักษาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในย่านสายกลาง
ขณะที่ชาวจีนในย่านสายกลางมีบทบาทโดดเด่นในด้านการค้าขายสินค้าและการบริหารจัดการธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าประเภทเครื่องเขียน เครื่องสำอาง และสินค้าเบ็ดเตล็ดที่มีเครือข่ายสมาคมและมูลนิธิที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจและรักษาอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ชุมชนจีนในพื้นที่นี้ไม่เพียงแต่สร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือกับชุมชนอื่น ๆ ในเมืองยะลาอย่างมีความกลมกลืน
ความสำคัญของย่านสายกลางยังสะท้อนผ่านราคาค่าเช่าบ้านซึ่งสูงเมื่อเทียบกับเมืองขนาดเล็ก ทำให้ชาวจีนรุ่นใหม่ที่ไม่มีบ้านเป็นของตนเองมักเลือกเปิดร้านในย่านอื่นที่ราคาถูกกว่า หลังเหตุการณ์ไฟไหม้ในปี พ.ศ. 2520 ย่านสายกลางซบเซาลงชั่วคราว แต่ปัจจุบันร้านค้าส่วนใหญ่กลับมาเปิดทำการอีกครั้ง
สภาพเศรษฐกิจในยะลามีความผันผวนตามราคายางพาราและผลไม้ซึ่งเป็นอาชีพหลักของเกษตรกรในพื้นที่ โดยรายได้จากการเกษตรของกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ในย่านนี้มีผลต่อกำลังซื้อและความคึกคักของตลาด ย่านสายกลางจึงมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับเศรษฐกิจภาคเกษตรในจังหวัด ในขณะเดียวกันกลุ่มลูกค้าอย่างข้าราชการ นักเรียน และนักศึกษาที่อาศัยในเขตเทศบาลนครยะลาก็เป็นกลไกสำคัญในการพยุงการค้าขายในช่วงที่เศรษฐกิจเกษตรซบเซา
นอกจากนี้ ย่านสายกลางยังได้รับผลกระทบจากกิจกรรมคาราวานสินค้าราคาถูกที่จัดขึ้นปีละสองครั้ง และความผันผวนของฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร แต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการค้าขายมักอยู่ในช่วงที่เกษตรกรมีรายได้จากผลผลิต ทำให้มีกำลังซื้อสูง
แม้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ย่านสายกลางได้รับผลกระทบบ้าง แต่ความร่วมมือระหว่างร้านค้าและเทศบาลนครยะลาในการจัดงานส่งเสริมการขาย เช่น งานเลหลังสายกลาง ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและทำให้ย่านนี้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
ดังนั้นย่านสายกลางจึงเป็นพื้นที่ที่สะท้อนความรวมตัวและความร่วมมือระหว่างชาวมลายูมุสลิมและชาวจีนผ่านกิจกรรมทางการค้า ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้เมืองยะลาเติบโตอย่างต่อเนื่องและคงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจได้อย่างมั่นคง
ย่านสายกลางนับได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีรูปแบบประเพณีวัฒนธรรมที่ค่อนข้างหลากหลาย อันเป็นผลมาจากความหลายทางเชื้อชาติของประชากรในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นชาวมลายูมุสลิม และชาวไทยเชื้อสายจีน ซึ่งทั้งสองกลุ่มเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่ล้วนแล้วแต่มีบทบาทสำคัญต่อย่านสายกลางในทุกด้าน รวมถึงวัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆ ที่ปรากฏในพื้นที่ด้วย
ชาวมลายูมุสลิมมีวิถีการดำเนินชีวิตที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับหลักศาสนาอิสลาม ซึ่งประชาชนกลุ่มนี้ล้วนปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด ทุกวันสำคัญทางศาสนาชาวมลายูมุสลิมจะพร้อมใจกันเข้าประกอบพิธีกรรมที่มัสยิดของชุมชนตลอดจนมัสยิดใกล้เคียงอย่างคับคั่ง ส่วนชาวไทยเชื้อสายจีนก็เช่นเดียวกัน ในแต่ละปีชาวไทยเชื้อสายจีนจะมีเทศกาลไหว้เจ้าหลัก ๆ 8 ครั้ง โดยแบ่งเป็นการไหว้บรรพบุรุษ การไหว้ผีไม่มีญาติ การไหว้ขุนนาง และไหว้พระจันทร์ อย่างไรก็ตาม ด้วยยุคสมัยและวิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน การประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อเหล่านี้ของชาวไทยเชื้อสายจีนจึงมีการลดหย่อนตัดทอนบางพิธีกรรมลง โดยจะประกอบพิธีครบหรือไม่นั้นยึดเอาความสะดวกเป็นหลัก แต่อย่างน้อยในรอบ 1 ปี จำเป็นต้องมีการไหว้บรรพบุรุษในวันเช็งเม้ง วันตรุษจีน และวันสารทจีน
ชาวจีนเชื่อว่าการไหว้เจ้าและการไหว้บรรพบุรุษเป็นการแสดงความกตัญญูและสำนึกในบุญคุณของทั้งเทพเจ้าที่ช่วยปกป้องคุ้มครอง และบรรพบุรุษผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดู เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงวิถีของชาวจีนที่มีการปลูกฝังบุตรหลานอย่างเคร่งครัดเรื่องความกตัญญูเป็นสำคัญ นัยหนึ่งเชื่อว่าการสำนึกในบุญคุณของเทพเจ้าจะทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรือง
เนื่องจากย่านสายกลางเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติทั้งชาวมลายูมุสลิมและชาวไทยเชื้อสายจีนที่ต่างก็เข้ามาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนในบริเวณนี้มาอย่างยาวนาน ทำให้ภาษาที่ใช้สื่อสารในย่านสายกลางนี้มีพบอยู่ 3 ภาษาหลัก ๆ ได้แก่ ภาษามลายู ภาษาจีน และภาษาไทยถิ่นใต้
1.ภาษามลายู เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันในกลุ่มชาวมลายูมุสลิม โดยภาษามลายูที่ใช้สื่อสารกันในท้องถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยจะมีความแตกต่างกับภาษามลายูกลาง หรือ Bahasa Malay ที่ใช้กันในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียที่การออกเสียงคำศัพท์บางคำ ปัจจุบันผู้สูงอายุที่เป็นชาวมลายูมุสลิมในชุมชนโดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ หรือบางครั้งพูดได้ไม่ชัดเจน ภาษามลายูจึงเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารเป็นหลักของประชาชนกลุ่มนี้
2.ภาษาจีน มีทั้งภาษาจีนกลางที่ใช้ในกลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีนที่เป็นผู้สูงอายุ และยังมีภาษาจีนฮกเกี้ยน แคะ แต้จิ๋ว ไหหลำ และกวางตุ้ง ที่ใช้สื่อสารในกลุ่มคนที่อายุต่ำกว่า 50 ปี
3.ภาษาไทยถิ่นใต้ เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารในกลุ่มประชากรแฝง คือ กลุ่มคนที่มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดอื่นในภาคใต้ที่ได้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในย่านสายกลาง จังหวัดยะลา ด้วยเหตุผลประการหนึ่งประการใด โดยประชากรกลุ่มนี้ไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาจีนหรือภาษามลายูได้
ย่านสายกลาง นับเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจแห่งแรกของเทศบาลนครยะลา และมีพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตามบริบทของสังคม การเมือง และวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และแนวโน้มทางเศรษฐกิจสมัยใหม่
ในอดีตย่านสายกลางเป็นพื้นที่ที่ชาวจีนมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะในฐานะผู้ประกอบการค้าปลีกและค้าส่งรายใหญ่ ทั้งนี้ ชาวจีนส่วนใหญ่มักเช่าพื้นที่จากชาวมลายูมุสลิมซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน ต่อมาในช่วงหลัง พ.ศ. 2520 หลังเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่ในพื้นที่ ประกอบกับสัญญาเช่าได้สิ้นสุดลง ชาวมลายูมุสลิมเริ่มเข้ามาประกอบอาชีพค้าขายแทนที่ ส่งผลให้โครงสร้างกรรมสิทธิ์และสัดส่วนการถือครองกิจการในพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจยังเกิดขึ้นจากการที่เทศบาลนครยะลาได้ดำเนินนโยบายพัฒนาเมืองให้เป็นศูนย์กลางการค้าระดับภูมิภาค ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ตื่นตัวและหันมาประกอบธุรกิจหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ทั้งนี้ ย่านสายกลางในปัจจุบันยังคงเป็นพื้นที่การค้าสำคัญของเมืองยะลา โดยมีร้านค้าจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ เสื้อผ้า ผ้าพื้นเมือง เครื่องสำอาง ทองคำ โทรศัพท์มือถือ และของเบ็ดเตล็ดทั่วไป
ครองชัย หัตถา. (2541). ปัตตานี การค้าและการเมืองการปกครองในอดีต. โรงพิมพ์มิตรภาพ.
แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง. (2546). ปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาวมลายูมุสลิมและชาวจีนในย่านสายกลาง จังหวัดยะลา. มหาวิทยาลัยศิลปากร
ประยูรศักดิ์ ชลายนเดชะ. (2531). มุสลิมในประเทศไทย. อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ้ป.
ยะลาเมื่อวันวาน. (15 พฤศจิกายน 2562). [ภาพประกอบ]. สืบค้น 10 มิถุนายน 2568, จาก https://www.facebook.com/
สิ่งแวดล้อมศิลปกรรม. (ม.ป.ป.). ย่านสายกลาง. กองจัดการสิ่งแวดล้อมธรรมชาติและศิลปกรรม. สืบค้น 10 มิถุนายน 2568, จาก https://culturalenvi.onep.go.th/
Budee Meedee. (14 พฤษภาคม 2567). [ภาพประกอบ]. สืบค้น 10 มิถุนายน 2568, จาก https://www.facebook.com/