Advance search

กือเม็ง

ชุมชนเก่าแก่ ลานพรุขนาดใหญ่

หมู่ที่ 1
บ้านกือเม็ง
อาซ่อง
รามัน
ยะลา
อบต.อาซ่อง โทร. 0-7329-9923
อับดุลเลาะ รือสะ
12 ก.พ. 2023
นิรัชรา ลิลละฮ์กุล
24 มี.ค. 2023
อับดุลเลาะ รือสะ
27 เม.ย. 2023
บ้านกือเม็ง
กือเม็ง

บ้านกือเม็งเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ ชาวบ้านสันนิษฐานกันว่า คำว่า "กือเม็ง" มาจากคำว่า "กืมบัง" ในภาษามลายู


ชุมชนชนบท

ชุมชนเก่าแก่ ลานพรุขนาดใหญ่

บ้านกือเม็ง
หมู่ที่ 1
อาซ่อง
รามัน
ยะลา
95140
6.52410909361653
101.478534936904
องค์การบริหารส่วนตำบลอาซ่อง

บ้านกือเม็งเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ ชาวบ้านสันนิษฐานว่า คำว่า "กือเม็ง" มาจากคำว่า "กืมบัง" ในภาษามลายู ซึ่งแปลว่า เบ่งบาน เช่น บูงอรายอกืมบัง ดีปากีฮารี หมายถึง ดอกชบาเบิกบานในยามเช้า แต่ด้วยสำเนียงมลายูในพื้นที่จึงเรียกกันว่า"กือเม็ง" ชุมชนบ้านกือเม็งในประวัติศาสตร์เชื่อมโยงกับเมืองรามัน เนื่องจากเป็นชุมชนผลิตเสบียงอาหารเลี้ยงกองทัพ และช่วยดูแลช้าง ม้า เดิมในอดีตหมู่บ้านมีชื่อว่า บาโงยจือปากอ อยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าเมืองรามัน เมื่อประมาณปี 2599 เจ้าเมืองปัตตานี ได้แต่งตั้งให้ ด่วนดาโต๊ะนิ โต๊ะและห์ ซึ่งเป็นพระญาติให้ปกครองเมืองรามัน หลังจากนั้น ด่วยดาโต๊ะนิ โต๊ะและห์ ได้ประกาศไม่อยู่ภายใต้อำนาจของปัตตานี และสถาปนาตัวเองเป็นอิสระจากเจ้าเมืองปัตตานี

เจ้าเมืองปัตตานีส่งทหารมาปราบแต่พ่ายแพ้กลับไป เนื่องจากเจ้าเมืองรามันมีการสะสมกำลังเข้มแข็ง หลังจากนั้นทั้งสองเมืองมีการสู้รบกันอย่างต่อเนื่อง ในการสู้รบแต่ละเมืองจะมีการสะสมช้าง ม้า เพื่อใช้ทำศึกสงคราม เจ้าเมืองรามันจึงมอบหมายให้โต๊ะกือเม็งและครอบครัวเป็นผู้รับผิดชอบดูแลช้าง ม้า ที่ใช้ทำศึกสงครามที่บาโงยจือปากอ เนื่องจากมีทำเลที่ตั้งเหมาะสม น้ำท่วมไม่ถึง และแต่งตั้งให้โต๊ะกือเม็งเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน จากคำบอกเล่า โต๊ะกือเม็ง เป็นผู้หญิงที่มีความฉลาดเฉียบแหลม สวย สวย ผมยาวหยักศก พูดจาอ่อนโยน มีความรู้และเชียวชาญในศาสตรา อาวุธ และไสยศาสตร์ทุกแขนง 

บ้านกือเม็งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอรามัน ประมาณ 8 กิโลเมตร อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ  28 กิโลเมตร  สามารถเดินทางได้ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคล 

อาณาเขตติดต่อ

  • ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านพรุ หมู่ที่ 3 ตำบลท่าธง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
  • ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านแยะ หมู่ที่ 2 ตำบลอาซ่อง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
  • ทิศตะวันออก ติดต่อกับ แม่น้ำสายบุรี
  • ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านบูเกะบือราแง หมู่ที่ 3 ตำบลอาซ่อง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา

สภาพพื้นที่กายภาพ

สภาพโดยทั่วไปของบ้านกือเม็ง มีลักษณะพื้นที่ราบลุ่มติดกับแม่น้ำสายบุรี มีลานพรุขนาดใหญ่ในพื้นที่ พื้นที่แห่งในอดีตเคยเป็นที่เลี้ยงสัตว์หลายชนิดเพราะมีความอุดมสมบูรณ์ ช่วงฤดูฝนพื้นที่แห่งนี้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี

ลักษณะภูมิอากาศแบบร้อนชื้น เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะงันออกเฉียงใต้ โดยทั่วไปแล้วพื้นที่แห่งนี้มี 2 ฤดูคือ ฤดูร้อนและฤดูฝน ฤดูร้อนจะเริ่มตั้งแต่ กุมภาพันธ์ ถึงเดือนสิงหาคม ส่วนฤดูฝน ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม

จากข้อมูลการสำรวจของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ปี 2565 ระบุจำนวนครัวเรือน และประชากรชุมชนบ้านกือเม็ง จำนวน 239 หลังคาเรือน ประชากรรวมทั้งหมด 1,048 คน แบ่งประชากรชาย 522 คน หญิง 526 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายมลายู ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ร่วมกันแบบครอบครัวที่มีความหลากหลายช่วงวัย มีเพียงส่วนน้อยที่อาศัยเป็นครอบครัวเดี่ยว จากรากฐานความสัมพันธ์เชิงเครือญาติทำให้ผู้คนในสังคมมีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ระหว่างกัน

มลายู

ผู้คนในชุนชนบ้านกือเม็ง มีการรวมกลุ่มที่เป็นทางการ

กลุ่มผ้าบาติก เป็นกลุ่มองค์กรที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างรายได้แก่ชาวบ้านในพื้นที่โดยมีการจัดทำผ้าบาติกจำหน่ายตามงานต่างๆ

ด้านกลุ่มอาชีพ พื้นที่แห่งนี้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร เช่น ปลูกต้นยาง ทุเรียน และมีการเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ วัว ควาย แพะ รองลงมาประกอบอาชีพรับราชการ

ในรอบปีของผู้คนบ้านกือเม็งมีวิถีชีวิตทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจที่มีอัตลักษณ์โดดเด่นดังต่อไปนี้

วิถีชีวิตทางวัฒนธรรม

  • งานเมาลิดนบี เป็นวันแห่งการยกย่องวันเกิดของท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) คำว่า "เมาลิด" เป็นภาษาอาหรับแปลว่า เกิด, ที่เกิด หรือวันเกิด ซึ่งหมายถึงวันเกิดของท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) ตรงกับวันที่ 12 เดือนรอบือุลเอาวัล หรือเดือนที่ 3 ตามปฏิทินอิสลาม กิจกรรมในงานเมาลิดได้แก่ การอัญเชิญคัมภีร์อัล-กุรอาน การกล่าวสรรเสริญ อ่านซางี เพื่อระลึกถึงท่านนบีมูฮัหมัด (ซ.ล.) นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงอาหารแก่ผู้ที่ไปร่วมงานด้วย ชุมชนบ้านกือเม็งจะจัดงานเมาลิดนบีที่มัสยิดโดยชาวบ้านจะมาเตรียมอาหารเพื่อเลี้ยงคนในชุมชนซึ่งจะเลี้ยงอาหารหลังจากทำกิกรรมอ่านซางีหรือบทกลอนกล่าวถึงประวัติของท่านนบี

  • วันตรุษอิดิลฟิตรี หรือที่นิยมเรียกว่า วันรายอปอซอเพราะหลังจากที่มุสลิมได้ถือศีลอดมาตลอดในเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนที่ 9 ของศาสนาอิสลาม ก็จะถึงวันออกบวช ตอนเช้าจะมีการละหมาดร่วมกัน ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สะอาด สวยงาม และมีการจ่าย ซะกาตฟิตเราะฮ์

  • วันตรุษอิดิลอัฏฮา หรือวันรายอฮัจยี เนื่องจากมุสลิมทั่วโลกเริ่มประกอบพีธีฮัจญ์ ณ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย มีการทำกุรบานหรือการเชือดสัตว์เพื่อเป็นอาหารแก่เพื่อนบ้านและคนยากจน เพื่อขัดเกลาจิตใจให้เป็นผู้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ ตรงกับเดือน ซุลฮิจยะห์ ซึ่งเป็นเดือนที่ 12 ในปฏิทินของศาสนาอิสลาม

  • การถือศีลอด เป็นหลักปฎิบัติที่มุสลิมจำเป็นต้องถือศีลอด ในเดือนรอมฎอน ตลอดระยะเวลา 1 เดือน มุสลิมที่มีอายุเข้าเกณฑ์ศาสนบัญญัติจะต้องงด การกิน ดื่ม การร่วมประเวณีตลอดจนทุกอย่าง ที่เป็นสิ่งต้องห้าม ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนกระทั่งตกดิน ทุกคนต้องสำรวมกาย วาจา ใจ เพราะเดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่มีประเสริฐยิ่งของศาสนาอิสลาม ซึ่งในเดือนนี้ชาวมุสลิมจะไปละหมาดที่มัสยิด ซึ่งเป็นการละหมาดที่ปฏิบัติภายในเดือนรอมฎอนเท่านั้น เรียกว่า ละหมาดตะรอเวียะห์

  • การละหมาด เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ ซึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวมุสลิม ทุกคนต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยถือว่าเป็นการเข้าเฝ้าผู้ทรงสร้างที่ยิ่งใหญ่ การแต่งกายต้องสะอาด เรียบร้อย มีความสำรวม พระองค์กำหนดเวลาละหมาดไว้วันละ 5 เวลา

  • การทำฮัจญ์ อัลลอฮ์ทรงบังคับ ให้มุสลิมที่มีความสามารถด้านกำลังกาย กำลังทรัพย์ ต้องไปทำฮัจญ์ ณ นครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย  ซึ่งมีขึ้นปีละครั้งชาวมุสลิมทั่วโลกจะเดินทางมารวมกัน เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร มีฐานะทางสังคมอย่างไร ต้องมาอยู่ที่เดียวกัน  ทำกิจกรรมร่วมกัน  ทุกคนมีฐานะเป็นบ่าวของอัลลอฮ์อย่างเท่าเทียมกัน ตรงกับเดือน ซุลฮิจยะห์ ซึ่งเป็นเดือนที่ 12 ในปฏิทินของศาสนาอิสลาม

  • การเข้าสุนัต เป็นพิธีกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาวมุสลิม ถือกันว่ามุสลิมที่แท้จริงควรเข้าสุนัต ถ้าไม่ทำถือว่าเป็นมุสลิมที่ไม่สมบูรณ์ ไม่บริสุทธิ์ การเข้าสุนัต คือการขลิบหนังหุ้มอวัยวะเพศของผู้ชายออก เพื่อสะดวกในการรักษาความสะอาด การเข้าสุนัตจะนิยมขลิบในช่วงเดือนเมษายนเนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคการเรียนการสอนของเด็กในพื้นที่ กิจกรรมจะมีการขลิบหนังหุ้มอวัยวะเพศ และมีการเตรียมอาหารเป็นข้าวเหนียวสีต่าง ๆ บางพื้นที่จะมีการขลิบเป็นหมู่คณะ โดยมีเด็กในชุมชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

  • ประเพณีการกวนอาซูรอ เป็นการรำลึกถึงความยากลำบากของศาสดา นบีนูฮ โดยเชื่อว่าในสมัยของท่านมีเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ น้ำท่วมโลกเป็นระยะเวลานาน ศาสดานบีนูฮ ซึ่งล่องลอยเรืออยู่เป็นเวลานาน ทำให้อาหารที่เตรียมไว้หร่อยหรอลง จึงได้นำส่วนที่พอจะมีเหลือเอามารวมกันแล้วกวนกิน จึงกลายเป็นตำนานที่มาของขนมอาซูรอ

คำว่า "อาซูรอ" คือคำในภาษาอาหรับ แปลว่า การผสม ในที่นี้หมายถึงการนำของที่รับประทานได้ทั้งของคาวและของหวานจำนวน 10 อย่าง มากวนรวมกัน ประเพณีจะจัดในวันที่ 10 ของเดือนมูฮัรรอม ซึ่งเป็นเดือนแรกของฮิจเราะห์ศักราชตามปฏิทินอิสลาม เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาปีใหม่ของมุสลิม ลักษณะกิจกรรมจะมีการรวมตัวของชาวบ้านโดยที่ชาวบ้านจะนำวัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเผือก มัน ฟักทอง กล้วย ข้าวสาร ถั่ว เครื่องปรุง ข่าตะไคร้ หอมกระเทียม เมล็ดผักชี ยี่หร่า เกลือ น้ำตาล กะทิ โดยวัตถุดิบทั้งหมดจะถูกกวนในกระทะเหล็กใช้เวลาเกือบ 6-7 ชั่วโมง โดยต้องกวนตลอด จนกระทั่งสุกแห้ง เมื่อเสร็จเรียบร้อยมีการแจกจ่ายแบ่งปันให้แก่ชาวบ้าน ภาพที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความสัมพันธ์และสามัคคีของคนในชุมชน

วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ การประกอบอาชีพ ประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ได้แก่ สวนยางพารา สวนผลไม้ เลี้ยงสัตว์ และผ้าบาติกเป็นอาชีพเสริม 

1. นายแวนาแซ  ผู้เชี่ยวชาญในการนวดรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดเหมื่อยและรักษาผู้ป่วยที่กระดูกหักซึ่ง ท่านเป็นที่รู้จักของชาวบ้านในหมู่บ้านและคนต่างพื้นที่ ท่านได้รับความรู้ในด้านนี้จากบรรพบุรุษในตระกูลซึ่งได้สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น

การแต่งกาย ผู้ชายมุสลิมมลายูโดยส่วนใหญ่จะนุ่งโสร่ง และสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นหรือเสื้อโปโลแขนสั้น ถ้าผู้สูงอายุหรือผู้ใหญ่ หากอยู่บ้านบางครั้งจะนุ่งโสร่งผืนเดียวโดยไม่สวมเนื่องจากสภาพอากาศร้อน และอยู่ภายในบ้านของตัวเอง ส่วนสตรีมุสลิมในช่วงเวลาอยู่บ้านมักนิยมนุ่งโสร่งผ้าปาเตะและเสื้อที่ตัดเย็บแขนยาว ถ้าอยู่ภายในบ้านเป็นการส่วนตัวบางครั้งจะไม่ใส่ผ้าคลุมศีรษะ แต่เมื่อออกจากบ้านจะสวมผ้าคลุมศีรษะทันที

ภาษามลายู หรือภาษามาเลย์ เป็นภาษาหนึ่งในตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน ซึ่งใช้ในดินแดนประเทศ มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน และภาคใต้ของประเทศไทย

ประเทศไทยมีจังหวัดที่มีประชากรพูดภาษามลายู คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาสและบางอำเภอของจังหวัดสงขลา ประชากรที่นี่ส่วนใหญ่เขียนและบันทึกโดยใช้อักษรยาวี ปัจจุบันคนในชุมชนยังคงรักษาไว้ซึ่งภาษาท้องถิ่นของพื้นที่อย่างเหนียวแน่น คล่องแคล่วและถือว่าเป็นภาษาหลักในการสื่อสารในชุมชน


การเปลี่ยนแปลงของสังคมไปสู่ความทันสมัย ปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือการสร้างบ้านเรือนที่มีความทันสมัยมากขึ้น ประกอบกับอิทธิพลทางการศึกษาสมัยใหม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเดิม


ชุมชนเผชิญปัญหากับความท้าทายเกี่ยวกับน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเกือบทุกปีแต่ชาวบ้านในพื้นที่เริ่มมีการปรับตัวโดยการสร้างบ้านยกพื้นสูงขึ้นซึ่งทำให้ได้รับผลกระทบน้อยลงจากเดิมด้านความท้าทายของชุมชน เผชิญปัญหากับความท้าทายเกี่ยวกับน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเกือบทุกปีแต่ชาวบ้านในพื้นที่เริ่มมีการปรับตัวโดยการสร้างบ้านยกพื้นสูงขึ้นซึ่งทำให้ได้รับผลกระทบน้อยลงจากเดิม

ในชุมชนบ้านกือเม็งมีจุดสนใจอื่น ๆ เช่น พิพิธภัณฑ์พื้นเมืองบ้านกือเม็ง

ซูไรดา เจะนิ. (2559). การศึกษาภูมินามของหมู่บ้านในอำเภอรามัน จังหวัดยะลาทุนอุดหนุนจากงบประมาณการศึกษาประจำปี 2559.มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา.

กรมการปกครอง. (2565). ระบบสถิติทางการทะเบียน จำนวนประชากร. ออนไลน์. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566. เข้าถึงได้ จาก : https://stat.bora.dopa.go.th/

อบต.อาซ่อง โทร. 0-7329-9923