
ชุมชนที่มีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้งและยั่งยืน ประวัติของวัดและเหตุการณ์สำคัญทางศาสนาในอดีตส่งผลให้วัดจุฬามณีกลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนในพื้นที่ ทั้งในมิติของศรัทธาทางศาสนาและการดำรงชีวิตของชุมชนในแต่ละวัน
ชุมชนวัดจุฬามณี ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าทอง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก มีประวัติความเป็นมาที่เกี่ยวเนื่องกับวัดจุฬามณี อันเป็นวัดเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยปลายกรุงสุโขทัย ราวพุทธศตวรรษที่ 19–20 วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก ห่างจากตัวเมืองพิษณุโลกไปทางใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร ตามเส้นทางถนนบรมไตรโลกนารถ
ชื่อ "จุฬามณี" มาจากภาษาสันสกฤต โดย "จุฬา" (चूडा - cūḍā) หมายถึง "ยอด" หรือ "จุก" และ "มณี" (मणि - maṇi) หมายถึง "แก้ว" หรือ "อัญมณี" รวมความหมายได้ว่า "ยอดแห่งแก้ว" หรือ "แก้วบนยอด" ซึ่งสื่อถึงสิ่งที่สูงค่าและศักดิ์สิทธิ์ สอดคล้องกับการตั้งชื่อวัดที่ต้องการยกย่องให้เป็นสถานที่สูงส่งทางศาสนา
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ระบุว่าในปีพุทธศักราช 2007 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้เสด็จออกผนวช ณ วัดจุฬามณีแห่งนี้ และทรงผนวชนานถึง 8 เดือน 15 วัน ก่อนที่จะลาผนวช นอกจากนี้ยังทรงสร้างพระวิหารขึ้นภายในวัดด้วย เหตุการณ์นี้ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของวัดจุฬามณีในประวัติศาสตร์ไทย
ในเวลาต่อมา ชุมชนได้ขยายตัวล้อมรอบวัด โดยประกอบด้วยหมู่บ้านสำคัญ ได้แก่ หมู่ที่ 1 บ้านกอก, หมู่ที่ 2 บ้านวัดจุฬามณี และหมู่ที่ 3 บ้านท่าทองตะวันออก ชุมชนเหล่านี้มีความเจริญรุ่งเรืองจากการค้าขายข้าวเปลือก โดยขนส่งทางเรือผ่านแม่น้ำน่านไปยังบางกอก (กรุงเทพฯ) หลังจากขายข้าวเปลือกได้ ชาวบ้านก็นำเงินที่ได้ไปซื้อทองกลับมาขายต่อที่ท่าน้ำจุฬามณี จนเกิดเป็นศูนย์กลางการค้าทองบริเวณนี้ ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าตำบล "ท่าทอง" ก็มีที่มาจากการค้าขายทองดังกล่าว
ด้วยความผูกพันระหว่างชุมชนกับวัดที่เป็นศูนย์กลางทั้งทางศาสนา เศรษฐกิจ และสังคม ชาวบ้านจึงตั้งชื่อชุมชนตามชื่อวัดว่า "ชุมชนวัดจุฬามณี" เพื่อสืบสานความสำคัญของวัดและสะท้อนถึงรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ของพื้นที่
ชุมชนที่มีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้งและยั่งยืน ประวัติของวัดและเหตุการณ์สำคัญทางศาสนาในอดีตส่งผลให้วัดจุฬามณีกลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนในพื้นที่ ทั้งในมิติของศรัทธาทางศาสนาและการดำรงชีวิตของชุมชนในแต่ละวัน
ชุมชนวัดจุฬามณีเป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีรากฐานทางวัฒนธรรมและศาสนาอย่างแน่นแฟ้น โดยมีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องมายาวนานตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาจนถึงปัจจุบัน วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่สะท้อนถึงความสัมพันธ์แนบแน่นระหว่างวัด บ้าน และการดำรงชีวิตตามแบบแผนชาวไทยดั้งเดิมได้อย่างชัดเจน
ยุคแรกเริ่ม: ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2007 – 2221: จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี พบว่าชุมชนวัดจุฬามณีมีต้นกำเนิดตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยบริเวณรอบวัดมีชุมชนเกษตรกรรมตั้งรกรากอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งแสดงถึงการมีระบบน้ำเพื่อการเพาะปลูกและการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่องยาวนาน หลักฐานเช่นเจดีย์เก่า โบราณวัตถุ และโบราณสถานในพื้นที่ ยืนยันถึงการเป็นชุมชนที่รุ่งเรืองในอดีต
ยุคเปลี่ยนผ่านและยุคสงคราม (พ.ศ. 2478 – 2509): ในช่วงนี้ ชุมชนเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงจากบริบททางการเมืองในประเทศ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ และผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตาม ชุมชนยังคงรักษาวิถีชีวิตแบบพึ่งพาเกษตรกรรมและศาสนาอย่างแนบแน่น โดยวัดยังคงทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นสถานที่ศึกษาอบรมจริยธรรมของคนในท้องถิ่น
ยุคพัฒนาเบื้องต้น (พ.ศ. 2510 – 2529): เป็นช่วงเวลาที่เริ่มมีการตัดถนน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการขยายตัวของโรงเรียนวัดจุฬามณี ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาและกิจกรรมชุมชน เด็กในชุมชนเริ่มมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาในระบบมากขึ้น วัดยังคงทำหน้าที่เป็นสถานที่รวมตัวในการจัดกิจกรรมประเพณีต่าง ๆ เช่น งานสงกรานต์ งานบุญเข้าพรรษา
ยุคปฏิรูปการพัฒนา (พ.ศ. 2530 – 2539): ในยุคนี้ ชุมชนเริ่มเปิดรับแนวคิดใหม่ ๆ ทั้งด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การพัฒนาท้องถิ่น และเศรษฐกิจพอเพียง โดยยังคงมีวัดจุฬามณีเป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมควบคู่กับการศึกษา
ยุคฟื้นฟูวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม (พ.ศ. 2540 – 2559): เป็นช่วงเวลาที่มีความตื่นตัวด้านวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างมาก ชาวบ้านร่วมกันฟื้นฟูประเพณีเก่า ๆ เช่น การละเล่นพื้นบ้าน ขบวนแห่ทางวัฒนธรรม และการจัดนิทรรศการประวัติศาสตร์ชุมชนขึ้น ณ วัดจุฬามณี นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งกลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำ และการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวในสวนสาธารณะร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น
ยุคปัจจุบัน: พ.ศ. 2560 – ปัจจุบัน: ชุมชนวัดจุฬามณีในปัจจุบันยังคงดำเนินชีวิตภายใต้ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ แต่ยังสามารถรักษาเอกลักษณ์ความเป็นชุมชนไว้ได้อย่างมั่นคง โดยมีแกนนำชุมชนอย่างนายไพศาล นวลทิม เป็นผู้ผลักดันให้เกิดกิจกรรมพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการส่งเสริมอาชีพ งานอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม หรือการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างมีส่วนร่วม
ดังนั้น ชุมชนวัดจุฬามณีเปรียบเสมือนภาพสะท้อนของการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอาศัยความร่วมมือของคนในพื้นที่เป็นหัวใจสำคัญ การเชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบันคือพลังในการรักษาเอกลักษณ์ของชุมชน และสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสืบทอดรากเหง้าทางวัฒนธรรมควบคู่ไปกับการสร้างอนาคตที่มั่นคง
แผนที่เดินดินของชุมชนวัดจุฬามณี เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมของวิถีชีวิตชุมชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ตำแหน่งทางกายภาพของสถานที่ต่างๆ เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน สถานที่ และกิจกรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของคนในพื้นที่
เมื่อเดินตามเส้นทางหลักของชุมชน จะพบกับ ตลาดชุมชน ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างการค้าขาย การพบปะ และการแลกเปลี่ยนของคนในหมู่บ้าน สะท้อนถึงระบบเศรษฐกิจฐานรากที่ยังคงมีความเข้มแข็ง ใกล้กับตลาด เราจะพบกับ โรงเรียนวัดจุฬามณี ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการศึกษาในพื้นที่ มีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดความรู้แก่เยาวชน และยังเป็นพื้นที่รวมกิจกรรมของชุมชน เช่น การจัดงานวันเด็ก วันสำคัญทางศาสนา และกิจกรรมอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย
บริเวณใกล้เคียงกันคือ วัดจุฬามณี ที่ตั้งตระหง่านด้วยสถาปัตยกรรมไทยอันวิจิตรงดงาม วัดแห่งนี้ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางทางศาสนา แต่ยังเป็นจิตวิญญาณของชุมชน มีการจัดงานบุญต่างๆ ตลอดปี เช่น งานสงกรานต์ งานวันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความศรัทธาและความผูกพันระหว่างชาวบ้านกับพระพุทธศาสนา
ในแผนที่ยังปรากฏ สวนน้อมไทย ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงที่สำคัญของชุมชนวัดจุฬามณี โดยมุ่งส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ ธนาคารน้ำใต้ดิน การปลูกพืชผักสวนครัว และการส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง รวมถึงพื้นที่โครงการปกปักษ์พันธุกรรมพืช และสมุนไพร ของชุมชนวัดจุฬามณีที่มีความโดดเด่นด้านการใช้พื้นที่สาธารณะอย่างมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นพื้นที่สีเขียว พื้นที่นี้กลายเป็นจุดพักผ่อนของคนในชุมชน รวมถึงสถานที่สำหรับจัดกิจกรรมกลุ่ม เช่น เวิร์กช็อป และการฝึกอบรมอาชีพต่างๆ เป็นต้น
ทางฝั่งตะวันตกของแผนที่จะพบกับโบราณสถาน เช่น วัดเก่าแก่ และ ป้ายโบราณคดี ที่แสดงถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของพื้นที่ เป็นหลักฐานว่าชุมชนแห่งนี้มีความเป็นมายาวนาน และมีคุณค่าในเชิงวัฒนธรรมอย่างยิ่ง บนถนนสายหลักของชุมชน ยังมีสถานที่สำคัญอื่นๆ เช่น ปั๊มน้ำมัน โครงการหมู่บ้านจัดสรร ร้านอาหารท้องถิ่น และกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 31 (ค่ายเจ้าพระยาจักรี) ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจที่สอดประสานกันของชาวบ้าน
บ้านเรือนที่ปรากฏในแผนที่ เรียงรายอยู่ทั่วบริเวณ สะท้อนถึงความหนาแน่นของประชากรและการอยู่อาศัยที่ใกล้ชิดกัน การที่บ้านตั้งอยู่ใกล้แหล่งสำคัญเหล่านี้ ทำให้คนในชุมชนมีความสะดวกในการเข้าถึงทรัพยากรและบริการขั้นพื้นฐาน
แผนที่เดินดินจึงไม่ใช่เพียงแผนผังของสถานที่เท่านั้น แต่คือ “แผนที่หัวใจ” ที่แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างของชุมชน ระบบความสัมพันธ์ และวิถีชีวิตที่ดำรงอยู่ร่วมกันอย่างเหนียวแน่น เป็นเครื่องมือที่ทำให้เรารู้จัก เข้าใจ และเชื่อมโยงกับชุมชนในระดับลึก และเป็นแนวทางหนึ่งในการวางแผนพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต
ผังเครือญาติถือเป็นภาพสะท้อนที่สำคัญของความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและสายตระกูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของชุมชนวัดจุฬามณี ตำบลท่าทอง จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งยังคงรักษาความแน่นแฟ้นของเครือญาติไว้เป็นอย่างดี ความสัมพันธ์ในระดับครอบครัวขยายและเครือญาติ ไม่เพียงส่งผลต่อความผูกพันทางสายเลือด แต่ยังมีบทบาทอย่างมากต่อการขับเคลื่อนกิจกรรมทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชน
จากผังเครือญาติของชุมชนวัดจุฬามณี พบว่ามีตระกูลที่สืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษร่วมกันและยังคงมีอิทธิพลทางสังคมอยู่ในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น ตระกูลน้อยด้วง ซึ่งถือว่าเป็นตระกูลที่มีเครือญาติขนาดใหญ่และมีสมาชิกจำนวนมากกระจายอยู่ในพื้นที่ อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นในบทบาทของผู้นำ เครือข่ายอาสาสมัคร หรือผู้สนับสนุนการพัฒนาชุมชนในหลายระดับ
สืบทอดจากตระกูลน้อยด้วง ยังมีกลุ่มนามสกุลที่ยังคงเป็นแกนนำของชุมชนวัดจุฬามณี และมีบทบาทอย่างยิ่งในกิจกรรมทางศาสนา วัฒนธรรม และสาธารณสุข อาทิเช่น นามสกุลไทยโกษา ซึ่งมักพบในกลุ่มผู้อาวุโสและเป็นที่เคารพนับถือ, นามสกุลนวลทิม ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้นำระดับเทศบาล เช่น คุณไพศาล นวลทิม รองนายกเทศบาลตำบลท่าทอง, นามสกุลเปลี่ยนแสง ซึ่งมีสมาชิกหลายท่านเป็นแกนนำในกลุ่มเครือข่ายชุมชน เช่น คุณเตือนใจ เปลี่ยนแสง, คุณยับ เปลี่ยนแสง และคุณสาวิตรี เปลี่ยนแสง และนามสกุลแป้นน้อย เช่น คุณชัยวัฒน์ แป้นน้อย สมาชิกสภาเทศบาลตำบลท่าทอง เป็นต้น
ผังเครือญาติยังเผยให้เห็นถึงโครงสร้างการเชื่อมโยงระหว่างคนในครอบครัวที่มีความหลากหลาย ทั้งรุ่นปู่ย่าตายาย รุ่นพ่อแม่ และรุ่นลูกหลาน โดยการวางผังความสัมพันธ์เช่นนี้ ช่วยให้เห็นความต่อเนื่องของสายตระกูล การแต่งงานเชื่อมโยงระหว่างตระกูลต่าง ๆ และยังสะท้อนถึงความร่วมแรงร่วมใจของญาติพี่น้องในการทำกิจกรรมร่วมกับชุมชน
เครือญาติไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างทางสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งพลังสำคัญที่ส่งเสริมความเข้มแข็งและความยั่งยืนของชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุมชนวัดจุฬามณี ที่ผู้นำชุมชนจำนวนมากมาจากเครือญาติเดียวกันหรือมีความเกี่ยวพันกันทางเครือญาติ ความผูกพันนี้จึงเป็นกลไกที่เอื้ออำนวยต่อการจัดกิจกรรมสาธารณะ การดูแลผู้สูงอายุ และการส่งต่อคุณค่าทางวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น
กล่าวโดยสรุป ผังเครือญาติไม่เพียงเป็นแผนภาพแสดงความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ยังเป็นฐานของการสร้างพลังร่วมในชุมชน ซึ่งช่วยส่งเสริมความรัก ความสามัคคี และการพัฒนาที่ยั่งยืนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง
โครงสร้างองค์กรชุมชนของชุมชนวัดจุฬามณีเป็นพื้นที่ที่มีความเข้มแข็งทางสังคมและวัฒนธรรมอันเกิดจากการทำงานร่วมกันของผู้นำและองค์กรชุมชนในหลายระดับ ทั้งผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้นำที่เป็นทางการ และกลุ่มเครือข่ายองค์กรชุมชน ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนชุมชนให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ในมิติของ ผู้นำทางจิตวิญญาณ (ศาสนา) ชุมชนได้รับการชี้นำและดูแลทางจิตใจโดย พระมหาชุมพล ปภากโร เจ้าอาวาสวัดจุฬามณี ซึ่งถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในพื้นที่ ท่านมีบทบาทในการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมผ่านกิจกรรมทางศาสนาอย่างสม่ำเสมอ โดยมี คุณสมบุญ ทาจ๋อย มัคนายกของวัดเป็นผู้ช่วยดำเนินงานต่าง ๆ และยังมีบทบาทสำคัญในฐานะสมาชิกของ กลุ่มเครือข่ายผู้สูงอายุตำบลท่าทอง/ชุมชนวัดจุฬามณี ซึ่งช่วยเชื่อมโยงบทบาททางศาสนากับกิจกรรมชุมชนอย่างกลมกลืน
ในด้านของ กลุ่มผู้นำที่เป็นทางการ ชุมชนได้รับการบริหารจัดการและประสานงานอย่างเป็นระบบจากผู้นำที่มีบทบาทในหน่วยงานภาครัฐและองค์กรปกครองท้องถิ่น อาทิ คุณไพศาล นวลทิม รองนายกเทศบาลตำบลท่าทอง, คุณชัยวัฒน์ แป้นน้อย สมาชิกสภาเทศบาลตำบลท่าทอง และ คุณจรัญ อุปทอง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 (บ้านจุฬามณี) ทั้งสามท่านเป็นแกนนำสำคัญที่ร่วมกันวางแผนพัฒนาชุมชนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา สาธารณสุข และการส่งเสริมอาชีพ
นอกจากนี้ยังมี กลุ่มเครือข่ายองค์กรชุมชน ที่ทำหน้าที่เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในระดับรากหญ้า โดยมีความเชื่อมโยงกับทั้งผู้นำทางจิตวิญญาณและผู้นำที่เป็นทางการ กลุ่มองค์กรเหล่านี้อาทิเช่น
1) กลุ่มเครือข่ายผู้สูงอายุตำบลท่าทอง/ชุมชนวัดจุฬามณี มีสมาชิกที่มีประสบการณ์และภูมิปัญญาในการดูแลคนในชุมชน
2) กลุ่มเครือข่ายสภาวัฒนธรรมตำบลท่าทอง/ชุมชนวัดจุฬามณี ซึ่งมีบทบาทในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น
3) กลุ่มเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพประชาชนอย่างใกล้ชิด
ในกลุ่มองค์กรเหล่านี้มีผู้นำที่โดดเด่น อาทิ คุณเตือนใจ เปลี่ยนแสง, คุณยับ เปลี่ยนแสง, คุณสาวิตรี เปลี่ยนแสง, คุณประภากร คงเดชา, คุณชนิดาภา เรือนคุ้ม และ คุณวีณา บัวบาน ซึ่งแต่ละท่านต่างมีบทบาทในการประสานงานและนำพากิจกรรมของชุมชนให้สำเร็จลุล่วงอย่างมีประสิทธิภาพ
จากการมีผู้นำที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งด้านจิตวิญญาณ การบริหารราชการ และงานพัฒนาชุมชน ตลอดจนการมีเครือข่ายองค์กรชุมชนที่เข้มแข็ง ทำให้โครงสร้างองค์กรชุมชนในตำบลท่าทองและชุมชนวัดจุฬามณีมีความหลากหลายและเชื่อมโยงกันอย่างเหนียวแน่น ส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของคนในชุมชนได้อย่างครอบคลุมและสมดุล
ปฏิทินชุมชนของตำบลท่าทอง โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชุมชนวัดจุฬามณี สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่หลอมรวมระหว่างกิจกรรมทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ซึ่งดำเนินควบคู่กันตลอดทั้งปี แสดงถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างประชาชน วัด ผู้นำชุมชน และเครือญาติ ผ่านกิจกรรมที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องตามฤดูกาลและโอกาสสำคัญ
ในด้าน เศรษฐกิจชุมชน อาชีพหลักของคนในพื้นที่คือการทำนา ซึ่งจะเริ่มต้นในเดือนพฤษภาคมและดำเนินไปจนถึงเดือนตุลาคม สะท้อนถึงการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติและการเกษตรกรรมในชีวิตประจำวัน ขณะเดียวกันกิจกรรมการปลูกพืชผักสวนครัวปลอดสารพิษ ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มีความต่อเนื่องตลอดทั้งปี ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารในระดับครัวเรือน นอกจากนี้ยังมีการปลูกผลไม้ในครัวเรือน เช่น มะยงชิด ขนุน มะม่วง และมะปราง ซึ่งให้ผลผลิตในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม นอกจากนี้ ชาวชุมชนวัดจุฬามณียังมีรายได้เสริมจากการค้าขายและรับจ้างทั่วไป ซึ่งดำเนินอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน เช่นเดียวกับข้าราชการและผู้รับบำนาญที่ยังคงมีบทบาททางสังคมและเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ในด้าน วัฒนธรรมและประเพณี ปฏิทินชุมชนก็แน่นไปด้วยกิจกรรมที่สะท้อนเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของตำบลท่าทอง เริ่มต้นจากช่วงเดือนเมษายน ที่มี ประเพณีสงกรานต์ และ การรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกิจกรรมสำคัญในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างรุ่น การแต่งกายย้อนยุคด้วยผ้าไทย การประกวดหนุ่มสาววัยทองคำ และการก่อพระเจดีย์ทราย ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสานวัฒนธรรมไทย
ในช่วงเดือนกรกฎาคม เป็นช่วงของ ประเพณีวันเข้าพรรษา ที่มาพร้อมขบวนแห่เทียนพรรษา และยังเป็นเดือนเดียวกับการจัด งานสมโภชหลวงพ่อเพชร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัดจุฬามณี มีทั้งการทำบุญ มหรสพ และตลาดนัดโบราณ สร้างสีสันและความศรัทธาให้กับชุมชน
ถัดมาในเดือนตุลาคม ชาวบ้านจะร่วมกันจัด ประเพณีวันออกพรรษา ด้วยขบวนจำลองเหตุการณ์ “ตักบาตรเทโวโรหณะ” อย่างงดงามและสมจริง ส่วนในเดือนพฤศจิกายน จะมี ประเพณีลอยกระทง ที่ประกวดกระทงและนางนพมาศ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น
ช่วงปลายปี ในเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม จะมี งานท่องเที่ยววิถีถิ่นเมืองท่าทอง ซึ่งรวบรวมของดีจากทุกหมู่บ้านในตำบล ทั้งอาหารพื้นบ้าน งานหัตถกรรมพื้นถิ่น และซุ้มกิจกรรมของแต่ละชุมชน พร้อมการประกวดเทพีวิถีถิ่น ที่เป็นทั้งเวทีให้เยาวชนได้แสดงออก และส่งเสริมความภาคภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง
ดังนั้น ปฏิทินชุมชนจึงไม่ใช่เพียงกำหนดเวลาของกิจกรรม แต่เป็นเหมือน “ลมหายใจ” ของตำบลท่าทองและชุมชนวัดจุฬามณี ที่สะท้อนการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างมีแบบแผน ผ่านพลังของผู้นำท้องถิ่น เครือข่ายญาติ และผู้คนที่ยังคงรักและหวงแหนในวิถีถิ่นของตน
นายไพศาล นวลทิม รองนายกเทศบาลตำบลท่าทอง และแกนนำการพัฒนาชุมชนวัดจุฬามณี คือ บุคคลผู้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาชุมชนวัดจุฬามณี ด้วยความเป็นผู้นำที่มุ่งมั่น ใฝ่รู้ และมีจิตอาสาในการทำงานเพื่อส่วนรวมตลอดชีวิต เขาเป็นแบบอย่างของผู้นำท้องถิ่นที่ไม่เพียงแค่รับผิดชอบต่อหน้าที่ แต่ยังเข้าใจหัวใจของชุมชนอย่างลึกซึ้ง
รากเหง้าและชีวิตครอบครัว: นายไพศาลเป็นชาวบ้านดั้งเดิมในพื้นที่ เกิดและเติบโตในครอบครัว “นวลทิม” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนามสกุลสำคัญของชุมชนวัดจุฬามณี ครอบครัวของเขามีวิถีชีวิตผูกพันกับการทำเกษตรกรรมและกิจกรรมชุมชนอย่างแน่นแฟ้น ผ่านการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ที่ขยันขันแข็งและมีคุณธรรม ทำให้เขาเติบโตมาเป็นคนที่รักในถิ่นฐานบ้านเกิดของตนอย่างลึกซึ้ง
การศึกษาและพัฒนาตนเอง: เส้นทางการศึกษาของนายไพศาลเริ่มต้นจากโรงเรียน และวิทยาลัยสายอาชีพทางการเกษตรในจังหวัดพิษณุโลก ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเพื่อนำกลับมารับใช้ท้องถิ่น เขาให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ทั้งในระบบและนอกระบบ มีความสนใจในการพัฒนาชุมชน การจัดการสิ่งแวดล้อม และการศึกษาเชิงสร้างสรรค์
บทบาททางสังคมและการเมืองท้องถิ่น: นายไพศาลเริ่มเข้าสู่เวทีการเมืองท้องถิ่นด้วยตำแหน่งสมาชิกสภาเทศบาล ก่อนจะก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่ง รองนายกเทศบาลตำบลท่าทอง ด้วยความสามารถในการประสานงานระหว่างภาครัฐและประชาชน เขาจึงได้รับความไว้วางใจจากคนในชุมชนอย่างกว้างขวาง
แกนนำในการพัฒนาชุมชนวัดจุฬามณี: บทบาทสำคัญที่สุดของนายไพศาลคือการเป็น “แกนนำการพัฒนาชุมชนวัดจุฬามณี” เขาเป็นผู้ริเริ่มและผลักดันโครงการหลากหลายที่ส่งเสริมทั้งเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมของชุมชน เช่น การฟื้นฟูประเพณีสงกรานต์แบบโบราณ, การพัฒนา “สวนน้อมไทย” ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ชุมชน, การส่งเสริมเกษตรปลอดสารพิษในครัวเรือน และการจัดงานท่องเที่ยววิถีถิ่นเมืองท่าทอง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน เป็นต้น
แนวคิดและอุดมการณ์: นายไพศาลยึดหลัก “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” และ “ชุมชนต้องมีส่วนร่วม” เขาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเริ่มจากภายใน ด้วยพลังของคนในพื้นที่ที่รู้จักและเข้าใจตนเอง เมื่อทุกคนมีส่วนร่วม การพัฒนาจะไม่ใช่เพียงการก่อสร้าง แต่เป็นการสร้างความเข้มแข็งจากรากฐาน
แรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่: จากภาพชีวิตของนายไพศาล เราจะเห็นได้ว่า เขาไม่ใช่เพียงนักการเมืองท้องถิ่นเท่านั้น แต่เป็น “นักพัฒนาชุมชนหัวใจนักสู้” ผู้ใช้ทั้งความรู้ ความกล้า และหัวใจแห่งการรับใช้เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ให้กับพื้นที่เล็กๆ ที่เรียกว่า “บ้านเกิด”
ทุนของชุมชนวัดจุฬามณี
ชุมชนวัดจุฬามณีมี ทุนทางสังคม ที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะบทบาทของผู้นำทางศาสนาและผู้นำชุมชน พระมหาชุมพล ปภากโร เจ้าอาวาสวัดจุฬามณี เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน และเป็นผู้ขับเคลื่อนกิจกรรมทางศาสนาและสังคม นอกจากนี้ กลุ่มผู้สูงอายุยังเป็นกำลังสำคัญในการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีและถ่ายทอดภูมิปัญญาสู่คนรุ่นใหม่ การมีเครือข่ายชุมชนที่แน่นแฟ้น เช่น สภาวัฒนธรรมตำบลท่าทอง และกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมต่าง ๆ ทำให้การจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม เช่น ประเพณีสงกรานต์ ขบวนแห่เทียนพรรษา และงานบุญต่าง ๆ สามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากทุนทางสังคมแล้ว ชุมชนยังมี ทุนทางภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ที่หลากหลาย โดยเฉพาะความรู้ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น ระบบธนาคารน้ำใต้ดิน ซึ่งช่วยบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน นอกจากนี้ ชาวบ้านยังมีความเชี่ยวชาญด้านเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชและสมุนไพรเพื่อใช้เป็นยารักษาโรค
วัฒนธรรมการกินของชุมชนสะท้อนถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นที่โดดเด่น อาหารพื้นบ้าน เช่น แกงฟักชักส้ม แสดงถึงความสามารถในการใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมดอกดิน และ ขนมครองแครงกรอบ เป็นเครื่องสะท้อนถึงรากเหง้าทางวัฒนธรรมที่ยังคงได้รับการสืบทอด ขณะเดียวกัน ผู้สูงอายุในชุมชนยังมีความสามารถในการผลิตสินค้าหัตถกรรม เช่น ผ้าด้นมือลายหงส์ และ โคมระย้าวัดจุฬามณี ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของพื้นที่
ชุมชนวัดจุฬามณียังมี ทุนทางศาสนาและประวัติศาสตร์ ที่สำคัญ วัดจุฬามณีเป็นศาสนสถานเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ภายในวัดมีโบราณสถานอันทรงคุณค่า เช่น พระปรางค์ศิลาแลง ใบเสมาโบราณ และ วิหารหลวงพ่อเพชร ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาและเป็นสถานที่เรียนรู้ทางศาสนาและประวัติศาสตร์ของคนในท้องถิ่น
ความท้าทายของชุมชนวัดจุฬามณี
แม้ว่าชุมชนวัดจุฬามณีจะมีทุนที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะในด้าน การศึกษาและการส่งต่อภูมิปัญญา ปัจจุบัน เยาวชนในพื้นที่ยังไม่ได้รับการปลูกฝังให้เห็นคุณค่าของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างเพียงพอ การถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับมรดกของชุมชนยังจำกัดอยู่ในกลุ่มเครือข่ายขนาดเล็ก เช่น สภาวัฒนธรรมตำบลท่าทอง ทำให้ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้กระจายออกไปในวงกว้าง
อีกหนึ่งความท้าทายสำคัญคือ การอนุรักษ์และพัฒนาวัฒนธรรม การรักษาประเพณีเก่าแก่ เช่น สงกรานต์ วันเข้าพรรษา และลอยกระทง จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของชุมชน เพื่อให้สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ชุมชนมีศักยภาพสูงในการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แต่ยังขาดแผนพัฒนาที่ชัดเจนและกลยุทธ์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ
เศรษฐกิจของชุมชน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องได้รับการแก้ไข แม้ว่าผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น ขนมพื้นบ้านและสินค้าหัตถกรรม จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ปัญหาด้านการตลาดยังเป็นอุปสรรคสำคัญ การขาดช่องทางจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพทำให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนได้อย่างเต็มที่
สุดท้ายคือ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ แม้ว่าชุมชนจะมีความรู้ด้านการอนุรักษ์น้ำและพันธุกรรมพืช แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายในด้านการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน การใช้ระบบธนาคารน้ำใต้ดินและการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากคนในชุมชนและการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เทศกาล และประเพณี
1.ประเพณีสงกรานต์รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ
ประเพณีสงกรานต์ถือเป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบราณ เป็นช่วงเวลาส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ตามความเชื่อดั้งเดิม โดยพิธีกรรมต่าง ๆ จะเกิดขึ้นภายในครอบครัวและชุมชนใกล้เคียง ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญคือ "น้ำ" อันเป็นสัญลักษณ์แทนความชุ่มชื่นและการชำระล้างสิ่งไม่ดี เนื่องในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ย้ายเข้าสู่ราศีเมษ และเป็นช่วงฤดูร้อนของไทย
การใช้น้ำในพิธีสงกรานต์จึงเปี่ยมไปด้วยความหมาย โดยการรดน้ำขอพรจากผู้ใหญ่ไม่เพียงเป็นการอวยพรเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่ยังเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีและรำลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับ อีกทั้งยังปลูกฝังให้เยาวชนและคนรุ่นหลังได้เห็นความสำคัญของผู้สูงอายุในสังคม ปัจจุบัน ประเพณีรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุยังคงสืบทอดอย่างงดงาม เป็นสัญลักษณ์ของการเคารพและแสดงมุทิตาจิตต่อผู้ใหญ่ผู้มีพระคุณ และยังเป็นการธำรงรักษาขนบธรรมเนียมไทยให้คงอยู่ต่อไป
เทศบาลตำบลท่าทอง ในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีหน้าที่บำรุงรักษาศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น และให้การดูแลสงเคราะห์ผู้สูงอายุในชุมชน ได้เล็งเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ประเพณีอันดีงามนี้ จึงได้จัดทำโครงการงานประเพณีสงกรานต์รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุตำบลท่าทองขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเห็นคุณค่าของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเสมือนเสาหลักของแต่ละชุมชน อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังค่านิยมอันดีงาม สร้างแบบอย่างในการแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในชุมชน
โครงการดังกล่าวมีกิจกรรมมากมายที่เน้นการอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ที่ถูกต้อง อาทิ การรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุในแต่ละหมู่บ้านและปูชนียบุคคลที่ควรนับถือ การประกวดก่อพระเจดีย์ทราย และกิจกรรมสงฆ์น้ำพระ เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการประกวดต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุได้ถ่ายทอดความรู้เรื่องประเพณีสงกรานต์ที่ถูกต้องให้กับเยาวชนและลูกหลาน เพื่อสืบสานและรักษาขนบธรรมเนียมให้ดำรงอยู่ต่อไป
กิจกรรมที่จัดขึ้นในงานประกอบด้วยหลายกิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ 1) การจัดพิธีสงฆ์ในช่วงเช้า ทำบุญตักบาตรด้วยข้าวสารอาหารแห้ง ฟังพระสงฆ์เทศนาเกี่ยวกับความสำคัญของประเพณีสงกรานต์ รวมทั้งการประกวดก่อพระเจดีย์ทรายและกิจกรรมสงฆ์น้ำพระ เพื่ออนุรักษ์และสืบสานประเพณีให้คงอยู่สืบไป 2) การจัดประกวดหนุ่มสาวสงกรานต์วัยทองคำ พร้อมกิจกรรมรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ เพื่อเน้นย้ำความสำคัญของผู้สูงอายุในตำบล สร้างเสริมสุขภาพจิตที่ดีให้กับผู้สูงวัย และแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีและสัมมาคารวะต่อปูชนียบุคคลของตำบลท่าทอง 3) การจัดประกวดส่งเสริมการแต่งกายด้วยผ้าไทยย้อนยุค เพื่อปลูกฝังให้ประชาชนรุ่นหลังเห็นความงดงามของวัฒนธรรมการแต่งกายแบบไทยในงานประเพณีสงกรานต์ และมีแนวทางที่ดีในการปฏิบัติตนในเทศกาลสำคัญนี้
ประเพณีสงกรานต์รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุของชุมชนวัดจุฬามณี ตำบลท่าทอง จึงไม่เพียงแต่เป็นการรักษาขนบธรรมเนียมไทยที่สืบทอดมาแต่โบราณ แต่ยังเป็นเวทีที่เชื่อมโยงผู้คนในชุมชนเข้าด้วยกัน ผ่านความเคารพ ความกตัญญู และความห่วงใยที่มีต่อผู้สูงวัยในสังคมให้คงอยู่ตลอดไป
2.ประเพณีวันเข้าพรรษา
เหตุการณ์ที่เป็นต้นกำเนิดของประเพณีเข้าพรรษา เกิดขึ้นเมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ในเวลานั้น ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งได้กล่าวตำหนิพระภิกษุสงฆ์ว่าไม่รู้จักกาลเวลา พากันจาริกไปเรื่อยแม้ในฤดูฝน บางครั้งไปเหยียบย่ำต้นข้าวกล้าของชาวนาจนเสียหาย ขณะที่นักบวชศาสนาอื่น รวมถึงฝูงนก ยังหลีกเลี่ยงการเดินทางและหยุดพักในช่วงฤดูฝน ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติให้พระภิกษุอยู่จำพรรษาในฤดูฝน โดยมีพุทธบัญญัติคือ “อนุชานามิ ภิกขะเว สัสสัง อุปะคันตุง” แปลว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้พวกเธออยู่จำพรรษา” นับแต่นั้นเป็นต้นมา การเข้าพรรษาจึงกลายเป็นประเพณีปฏิบัติของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
ในประเทศไทย มีการกล่าวถึงการปฏิบัติธรรมเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ดังปรากฏในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชว่า “พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทั้งชาวแม่ชาวเจ้าทั้งท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขันทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้งหญิงทั้งชาย ฝูงท่วยมีศรัทธาในพุทธศาสนาศาสน์ มักทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชาชนในยุคนั้นต่างมีความศรัทธา และร่วมกันบำเพ็ญกุศลในช่วงเข้าพรรษาอย่างพร้อมเพรียง
ในสมัยกรุงสุโขทัยยังมีการจัดพระราชพิธีอาษาฒมาสในเดือน 8 พระสงฆ์จะเข้าจำพรรษาตามพระอารามต่างๆ พระมหากษัตริย์มีรับสั่งให้จัดเสนาสนะและเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นถวายพระสงฆ์ เช่น เตียง ตั่ง เสื่อสาด ผ้าจำนำพรรษา อาหารหวานคาว ยารักษาโรค รวมถึงธูปเทียน เพื่อบูชาพระรัตนตรัย แม้ประชาชนทั่วไปก็บำเพ็ญกุศลเช่นเดียวกันในวัดประจำตระกูล
ประเพณีที่สำคัญในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา ได้แก่ ประเพณีแห่เทียนพรรษา และประเพณีถวายผ้าอาบน้ำฝน ซึ่งล้วนมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนได้มีโอกาสแสดงศรัทธา และบำเพ็ญกุศลร่วมกัน โดยวันเข้าพรรษาในปัจจุบันตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 รวมระยะเวลา 3 เดือน
เทศบาลตำบลท่าทอง ในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนการปลูกจิตสำนึก ความรัก ความสามัคคี และการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติ รวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ดีงามเหล่านี้ จึงได้จัดกิจกรรมส่งเสริมและอนุรักษ์ประเพณีเข้าพรรษาขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ชาวตำบลท่าทองได้ตระหนักถึงความสำคัญของประเพณีนี้ ทั้งยังเป็นการเผยแพร่พุทธประวัติและต้นกำเนิดของประเพณีเข้าพรรษาให้แก่ประชาชนทั่วไป ตลอดจนเป็นการรณรงค์ให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติตนให้ถูกต้องในช่วงเข้าพรรษา เช่น การรักษาศีล ชำระร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ งดเว้นจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอบายมุข ผ่านโครงการ “งดเหล้าเข้าพรรษา”
เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง เทศบาลตำบลท่าทองยังได้จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างความตระหนักรู้ถึงประเพณีเข้าพรรษา เช่น การประกวดขบวนแห่เทียนพรรษา โดยมีหมู่บ้าน หน่วยงาน สถานศึกษา และชุมชนในตำบลท่าทองเข้าร่วมจัดขบวนอย่างสวยงาม สะท้อนถึงความศรัทธาและความตั้งใจในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
โดยกิจกรรมสำคัญที่จัดในงานดังกล่าวนี้ ประกอบด้วย 1) การจัดขบวนแห่เทียนพรรษา เล่าเรื่องราวพุทธประวัติที่เกี่ยวข้องกับประเพณีเข้าพรรษาผ่านรูปแบบขบวนที่สวยงาม เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักและสนใจในความสำคัญของวันเข้าพรรษา พร้อมทั้งเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้คงอยู่สืบไป 2) ขบวนรณรงค์การปฏิบัติตน ให้ประชาชนลด ละ เลิก ดื่มสุรา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอบายมุขต่างๆ เพื่อส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และการรักษาศีลในช่วงเข้าพรรษา 3) การประกวดแห่เทียนพรรษา เปิดโอกาสให้หมู่บ้าน หน่วยงาน สถานศึกษา และชุมชนในวัดตำบลท่าทองแสดงศักยภาพในการอนุรักษ์พระพุทธศาสนาอย่างสร้างสรรค์ ทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้ให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจถึงความสำคัญของประเพณีนี้ และปฏิบัติตนให้เหมาะสมตามหลักธรรม
กิจกรรมทั้งหมดนี้จึงเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดการอนุรักษ์ สืบสาน และเผยแพร่ประเพณีเข้าพรรษาให้ดำรงอยู่ในชุมชนและสังคมไทยต่อไปอย่างมั่นคง
3.ประเพณีวันออกพรรษา
วันออกพรรษา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปีถือเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา เป็นวันที่พระภิกษุสงฆ์สิ้นสุดการจำพรรษา หรือการอยู่ประจำที่ตามอธิษฐานไว้นานถึง 3 เดือนเต็ม ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงวันออกพรรษาไว้ว่า เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มายังโลกมนุษย์ หลังจากที่พระองค์เสด็จไปจำพรรษาและแสดงพระธรรมเทศนาโปรดเทพบุตรพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งพระพุทธมารดาได้เสด็จมาฟังธรรมที่ชั้นดาวดึงส์
วันออกพรรษายังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วันมหาปวารณา” ซึ่งเป็นวันที่พระภิกษุสงฆ์จะเปิดโอกาสให้กันและกันกล่าวตักเตือนด้วยเมตตาจิต มีเจตนาดีต่อกัน ทั้งทางกาย วาจา และใจ โดยผู้ถูกตักเตือนก็ต้องมีใจกว้าง เปิดรับคำตักเตือนด้วยความเข้าใจและความเคารพในเจตนาที่ดีของผู้กล่าว
หนึ่งในประเพณีที่พุทธศาสนิกชนปฏิบัติกันในช่วงวันออกพรรษา คือ การตักบาตรเทโวโรหณะ หรือ “ตักบาตรเทโว” ซึ่งมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โดยพุทธศาสนิกชนพากันนำอาหารมาถวาย แต่เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมาก ทำให้บางคนไม่สามารถเข้าถึงได้ จึงต้องปั้นข้าวให้เป็นก้อนแล้วโยนใส่บาตรพระ จนกลายเป็นประเพณีที่นิยมสืบต่อกันมา และในบางพื้นที่นิยมใช้ “ข้าวต้มลูกโยน” สำหรับใส่บาตรในวันนี้ด้วย
เทศบาลตำบลท่าทอง ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของท้องถิ่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ประจำชาติ จึงได้จัดโครงการส่งเสริมและอนุรักษ์ประเพณีวันออกพรรษาขึ้น ณ วัดสว่างอารมณ์ ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของชาวพุทธ ปลูกฝังค่านิยมที่มุ่งเน้นความสงบ ร่มเย็น การเข้าวัดทำบุญ และการทำจิตใจให้ผ่องใสในวันสำคัญของพระพุทธศาสนา
นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมความสามัคคีในชุมชน สร้างความสมานฉันท์ และสร้างพื้นที่สำหรับประชาชนได้ร่วมกันแสดงออกถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การประกวดสวดมนต์หมู่ การแสดงเกี่ยวกับวัฒนธรรมและประเพณี การจำลองเหตุการณ์ทางพุทธประวัติ ตลอดจนกิจกรรมตักบาตรเทโว และการบรรยายธรรมะ ซึ่งล้วนเป็นส่วนสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับประชาชนในการดำเนินชีวิตตามหลักธรรม
กิจกรรมสำคัญในงานประกอบด้วย 1) ขบวนจำลองเหตุการณ์ตักบาตรเทโวโรหณะ โดยมีการนำข้าวสารอาหารแห้งมาใส่บาตร เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนสนใจเข้าวัด ทำบุญ และร่วมกันอนุรักษ์ประเพณีอันดีงาม พร้อมทั้งเป็นการเผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติของวันออกพรรษา 2) การประกวดสวดมนต์หมู่ จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเข้าใจความหมายของบทสวดมนต์ ตลอดจนการฝึกปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักพิธีกรรมทางศาสนา เป็นการเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปยังประชาชนทั่วไปอย่างเหมาะสม 3) กิจกรรมบรรยายธรรมะและเสวนา จัดขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจได้รับความรู้ ความเข้าใจ และแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องในวันออกพรรษา ทั้งในด้านหลักธรรมและการนำหลักธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิต อันจะนำไปสู่การพัฒนาตนเองและสังคมโดยรวม
ดังนั้น การจัดกิจกรรมวันออกพรรษาในตำบลท่าทอง จึงมิได้เป็นเพียงการรักษาประเพณีเท่านั้น หากยังเป็นการสร้างโอกาสให้ประชาชนในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมพระพุทธศาสนา สร้างจิตสำนึกที่ดีงาม และสืบสานวัฒนธรรมของท้องถิ่นให้ดำรงอยู่สืบไปอย่างมั่นคง
4.ประเพณีลอยกระทง
ประเพณีลอยกระทง เป็นประเพณีสำคัญของไทยที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยโบราณ โดยจัดขึ้นในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์ส่องสว่าง และแม่น้ำลำคลองสะอาดสวยงาม เหมาะแก่การประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อแต่โบราณ
แต่เดิมประเพณีลอยกระทงมีชื่อเรียกว่า "พระราชพิธีจองเปรียง ชักโคม ลอยโคม" ซึ่งเป็นพิธีทางศาสนาพราหมณ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อบูชาพระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาเมื่อพุทธศาสนาแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทย ประเพณีดังกล่าวจึงได้ถูกปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับหลักพระพุทธศาสนา โดยเปลี่ยนเป็นการยกโคมบูชาพระบรมสารีริกธาตุบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ รวมถึงบูชาพระพุทธบาท
ตำนานที่เกี่ยวข้องกับการลอยกระทงที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย คือ ตำนานของนางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ซึ่งเป็นสนมเอกในรัชสมัยพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย นางเป็นผู้คิดประดิษฐ์กระทงรูปดอกบัวบานขึ้นเพื่อใช้ลอยประทีปบูชาแม่น้ำ เป็นต้นแบบให้ผู้คนประดิษฐ์กระทงเพื่อประกอบพิธีในเทศกาลนี้สืบต่อมา
ในปัจจุบัน เมื่อถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง ประชาชนจะประดิษฐ์กระทงจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ใบตอง หยวกกล้วย ดอกบัว ตกแต่งให้สวยงาม พร้อมปักธูปเทียนและจัดวางเครื่องสักการบูชา ก่อนนำไปลอยในแม่น้ำ เพื่อแสดงความขอบคุณและขอขมาต่อพระแม่คงคา ซึ่งเชื่อว่าเป็นเทพผู้ดูแลรักษาน้ำที่ประชาชนใช้อุปโภคบริโภค
แม้รูปแบบและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการลอยกระทงจะแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น แต่หลักคิดสำคัญยังคงเหมือนกัน คือการแสดงความกตัญญูและขอบคุณต่อธรรมชาติ โดยเฉพาะแหล่งน้ำ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพเกษตรกรรม อีกทั้งยังถือเป็นโอกาสในการแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และฟื้นฟูความสัมพันธ์ในชุมชน
เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าของประเพณีอันดีงาม เทศบาลตำบลท่าทอง ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการท้องถิ่น มีภารกิจในการอนุรักษ์ ส่งเสริม และพัฒนาขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ จึงได้จัดทำโครงการส่งเสริมและอนุรักษ์ประเพณีลอยกระทง ณ วัดหนองหัวยาง และห้างเทสโก้โลตัสเอ็กซ์ตร้าสาขาท่าทอง ตำบลท่าทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
กิจกรรมที่สำคัญภายในงาน อาทิเช่น 1) จัดสถานที่ลอยกระทงและการแสดงทางวัฒนธรรมเพื่อให้ประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมลอยกระทง และชมการแสดงที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของประเพณีลอยกระทง เป็นการเผยแพร่และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น 2) การประกวดกระทงงาม จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมความรู้และทักษะในการประดิษฐ์กระทงจากวัสดุธรรมชาติ ให้สวยงามตามแบบไทยโบราณ เป็นการกระตุ้นให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทั้งประเพณีและสิ่งแวดล้อม 3) การประกวดนางนพมาศ เพื่อสร้างความเข้าใจในประเพณีลอยกระทงและให้ผู้เข้าประกวดได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานการกำเนิดประเพณีลอยกระทง ถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลัง 4) กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์เพื่อดูแลรักษาแหล่งน้ำ เช่น การเก็บขยะ การทำความสะอาดแม่น้ำ คูคลอง และพื้นที่สาธารณะ เพื่อแสดงความขอขมาต่อพระแม่คงคา และปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนเห็นคุณค่าของน้ำและมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อม
การจัดกิจกรรมในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในงานประเพณีที่สืบทอดมาแต่โบราณแล้ว ยังเป็นโอกาสสำคัญในการปลูกฝังค่านิยมความกตัญญู การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนสร้างความสามัคคีและความร่วมมืออันดีระหว่างประชาชนในชุมชนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่สังคมที่มีความสงบสุขอย่างยั่งยืน
5.งานสมโภชหลวงพ่อเพชร
“หลวงพ่อเพชร” เป็นพระพุทธรูปหินทราย ปางขัดสมาธิเพชรบนฐานรองรับองค์ เดิมสมเด็จไตรโลกนาถกษัตริย์แห่งกรุงศรีสัชนาลัยทรงผนวช ณ วัดจุฬามณีแห่งนี้และเป็นผู้สร้างหลวงพ่อเพชรไว้ ต่อมาหลวงพ่อเพชรได้ชำรุด อดีตเจ้าอาวาสจึงนำปูนมาพอกไว้ หลังจากปูนหลุดกะเทาะออกมาจึงเห็นว่าพระพักตร์ชำรุด พระกรหัก ประชาชนจึงช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์องค์หลวงพ่อขึ้นมาใหม่ทำให้พุทธลักษณะของหลวงพ่อเพชรคล้ายศิลปะเชียงแสน ได้มีการนำเพชรมาประดับที่พระเนตรและเม็ดพระศก ชาวบ้านจึงนิยมเรียกว่า “หลวงพ่อเพชร” แต่เพชรได้ถูกขโมยไปปัจจุบันประชาชนจึงได้ช่วยกันอนุรักษ์องค์หลวงพ่อไว้ดังที่เห็นในปัจจุบัน
งานสมโภชหลวงพ่อเพชร จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนกรกฎาคม เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามาร่วมกันทำบุญ เพื่อพัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป ให้ประชาให้ประชาชนได้เข้าวัดทำบุญร่วมงานแสดงมหรสพต่างๆเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมเก่าแก่ของชุมชนเอาไว้
กิจกรรมในเมืองประกอบไปด้วย การแสดงมหรสพต่างๆการละเล่นกิจกรรมเกมและการร่วมทำบุญสักการบูชาหลวงพ่อเพชร อันเป็นที่เคารพนับถือแกประชาชนในชุมชนและประชาชนทั่วไป
6.เทศกาลท่องเที่ยววิถีถิ่นเมืองท่าทอง
เทศกาลท่องเที่ยววิถีถิ่นเมืองท่าทอง เป็นกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เกิดจากความร่วมมือของเทศบาลตำบลท่าทอง ร่วมกับวัดจุฬามณีและสภาวัฒนธรรมเทศบาลตำบลท่าทอง โดยมีจุดเริ่มต้นจากการจัดกิจกรรมวัฒนธรรมท้องถิ่นตามแนวทาง "บวร" (บ้าน วัด โรงเรียน) เช่น การประกวดแห่เทียนพรรษา ประเพณีสงกรานต์ และลอยกระทง ที่มีชุมชนวัดทั้ง 4 แห่งในตำบลท่าทอง ได้แก่ วัดจุฬามณี วัดสว่างอารมณ์ วัดศรีรัตนาราม (หรือวัดจูงนาง) และวัดหนองหัวยาง เข้าร่วมกิจกรรมอย่างเข้มแข็งจนเกิดเป็นเครือข่ายวัฒนธรรมชุมชน
ในปี พ.ศ. 2564 โครงการ U2T จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ลงพื้นที่ร่วมกับเทศบาลในการสำรวจอัตลักษณ์และภูมิปัญญาท้องถิ่น พบว่าแต่ละชุมชนมีความโดดเด่นทั้งในด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา ความเชื่อ อาหารพื้นถิ่น และแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ โดยเฉพาะวัดจุฬามณีซึ่งเป็นแหล่งโบราณสถานสำคัญของจังหวัดพิษณุโลก จึงเกิดแนวคิดพัฒนาเป็นเส้นทางท่องเที่ยวตามแนวคิด "เมืองสามธรรม" ได้แก่ ธรรมะ ธรรมชาติ และวัฒนธรรม
เทศบาลตำบลท่าทองจึงต่อยอดแนวคิดดังกล่าว จัดกิจกรรมท่องเที่ยววิถีถิ่นเมืองสามธรรม โดยนั่งรถรางเยี่ยมชมทั้ง 4 ชุมชนวัด เพื่อให้ประชาชนเห็นคุณค่าและร่วมอนุรักษ์มรดกของชุมชน พร้อมจัดทำแผนที่ท่องเที่ยวและหนังสือข้อมูลชุมชนเพื่อประชาสัมพันธ์ออกนอกพื้นที่ เชิญชวนผู้คนมาเยือนตำบลท่าทอง
ในปี พ.ศ. 2565 เทศบาลได้พัฒนากิจกรรมให้มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น กลายเป็นงาน "ชุมชนท่องเที่ยววิถีถิ่นเมืองท่าทอง" ที่จำลองบรรยากาศวิถีไทยในอดีต โดยมีกิจกรรมเด่น ได้แก่ การชมโบราณสถานวัดจุฬามณี ชิมอาหารคาวหวานพื้นถิ่น ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชนในตลาดนัดโบราณ และชมนิทรรศการมีชีวิตของทั้ง 4 ชุมชนวัด ผู้มาเยือนยังจะได้ชมการประกวดเทพีวิถีถิ่นเมืองท่าทอง การประกวดหนูน้อยวัฒนธรรมวัดจุฬามณี และกิจกรรมย้อนยุคแต่งผ้าไทยเที่ยวงาน
สำหรับปี พ.ศ. 2567 นับเป็นปีที่ 3 ของการจัดงานอย่างต่อเนื่อง โดยเทศบาลตำบลท่าทองร่วมกับสภาวัฒนธรรมและวัดจุฬามณี ได้จัดงานเทศกาลชุมชนท่องเที่ยววิถีถิ่นเมืองท่าทองขึ้นอีกครั้ง ณ วัดจุฬามณี โดยมีกิจกรรมที่หลากหลายและครอบคลุมทุกมิติของชุมชน ได้แก่
- การจัดแสดงซุ้มของดีชุมชนจากทั้ง 4 ชุมชนวัด
- ตลาดนัดโบราณที่รวบรวมอาหารและผลิตภัณฑ์พื้นถิ่น
- การประกวดเทพีวิถีถิ่นเมืองท่าทอง
- การประกวดหนูน้อยวัฒนธรรม
- การแสดงศิลปะและวัฒนธรรม
- การประกวดคำขวัญตำบลท่าทอง
- การประกวดภาพถ่าย
- การประกวดแต่งผ้าไทยทั้งในวัดและภายในงาน
เทศกาลนี้ไม่เพียงแต่เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในชุมชนเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีในการสืบสานและอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นถิ่นให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และภาคภูมิใจในความเป็นท้องถิ่นของตนเอง
วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น
“แกงฟักชักส้ม” ถือเป็นแกงไทยสูตรโบราณที่มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ซึ่งเคยปรากฏสูตรการทำในนิตยสารแม่บ้านเล่มที่ 41 ปี พ.ศ. 2522 ปัจจุบันหาทานได้ยาก มีลักษณะคล้าย "แกงชักส้ม" ซึ่งเคยได้รับนิยมแพร่หลายในภาคกลาง คนยุคนี้มักเข้าใจผิดว่าเป็น "แกงส้ม" แต่ไม่ใช่ โดยแตกต่างกันที่พริกแกง และการเปลี่ยนรสเปรี้ยวนำ และรสเปรี้ยวซ่าของมะกรูด กลิ่นหอมจากผิวและใบมะกรูดมาเป็นกลิ่นหองของกระชาย และการปรับจากผักบุ้งมาเป็นฟักซึ่งสามารถหาได้ง่ายในชุมชนท้องถิ่น
“แกงฟักชักส้ม” จะเน้นไปที่กลิ่นหอมจากเนื้อปลานวลจันทร์ย่าง และปลาทับทิมต้ม (หรือปลาที่มีเกร็ด) และพริกแกงที่มีส่วนผสมของ พริกแห้ง ข่า ตะไคร้ หอมแดง และกระชาย การชูรสเปรี้ยวกลมกล่อมจากส้มมะขามเปียก รวมถึงความมันจากน้ำกะทิ และได้ความหวานจากเนื้อปลา เนื้อปลาที่นิยมนำมาแกง ได้แก่ เนื้อปลานวลจันทร์ย่าง และปลาทับทิมต้ม (หรือปลาที่มีเกร็ด) เป็นต้น ให้ความรู้สึกคล้ายกินแกงส้มผสมน้ำยากะทิของขนมจีน
ส่วนประกอบ และเครื่องปรุง
1. เนื้อปลานวลจันทร์ย่าง และปลาทับทิมต้ม (หรือปลาที่มีเกร็ด)
2. พริกแห้ง ข่า ตะไคร้ หอมแดง และกระชาย
3. น้ำเปล่า น้ำกะทิ น้ำมะขามเปียก น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ
วิธีการทำ
1. นำส่วนผสมน้ำพริกแกงใส่ครก โขลกรวมกันให้ละเอียด
2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันเล็กน้อย ใส่น้ำพริกแกงผัดจนมีกลิ่นหอม
3. ต้มกะทิที่ผสมน้ำเปล่าเรียบร้อยแล้ว ต้มจนกระทิแตกมัน คนให้ละลาย
4. พอน้ำเดือดใส่เนื้อปลานวลจันทร์ย่าง และปลาทับทิมต้ม (หรือปลาที่มีเกร็ด) (ห้ามคนจะเหม็นคาว)
5. พอเนื้อปลาสุกได้ที่ ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ
6. เมื่อน้ำแกงเดือดอีกครั้งใส่ฟัก คนให้เข้ากัน พอฟักสุก ปิดไฟ ยกลง จัดเสิร์ฟ พร้อมรับประทาน
เทศบาลตำบลท่าทอง. (ม.ป.ป.). ข้อมูลด้านการศาสนา ศิลปะวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น สู่การส่งเสริมการท่องเที่ยวในชุมชน. พิษณุโลก: กองการศึกษา เทศบาลตำบลท่าทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลกร่วมกับสภาวัฒนธรรมเทศบาลตำบลท่าทอง