
เป็นชุมชนพหุวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีศาลเจ้าพ่อไต่เสี่ย (เห้งเจีย) เป็นศูนย์กลางความเชื่อของคนไทยเชื้อสายจีนในชุมชน มีพิธีไหว้เจ้าและงานตรุษจีนของบ้านกำแพงมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมสูง และกลายเป็นพื้นที่ร่วมศรัทธา
เป็นชุมชนพหุวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีศาลเจ้าพ่อไต่เสี่ย (เห้งเจีย) เป็นศูนย์กลางความเชื่อของคนไทยเชื้อสายจีนในชุมชน มีพิธีไหว้เจ้าและงานตรุษจีนของบ้านกำแพงมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมสูง และกลายเป็นพื้นที่ร่วมศรัทธา
ก่อนพ.ศ. 2470 พื้นที่บ้านกำแพงยังเป็นป่ารกทึบ มีเพียงชาวมลายูพื้นเมืองบางกลุ่มเข้ามาหาของป่าหรือเลี้ยงสัตว์
พ.ศ. 2471 ชาวจีนกลุ่มแรกจากจังหวัดปัตตานี อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพื่อทำสวนยางและปลูกพืชไร่ เช่น สับปะรด มันสำปะหลัง
พ.ศ. 2480 - 2490 มีการรวมกลุ่มครัวเรือนเพิ่มขึ้นกลายเป็นชุมชนขนาดเล็ก เริ่มมีผู้นำท้องถิ่น เช่น นายลือแม ตาเยะ เป็นหัวหน้าหมู่บ้านคนแรก
พ.ศ. 2500 รัฐบาลเริ่มจัดระเบียบหมู่บ้านในจังหวัดชายแดนใต้ บ้านกำแพงจัดตั้งเป็น หมู่ที่ 2 ของตำบลกะลุวอ
พ.ศ. 2520 เริ่มมีการจัดตั้งโรงเรียน วัด และมัสยิดในบริเวณใกล้เคียงเพื่อรองรับประชากรที่เพิ่มมากขึ้น
พ.ศ. 2530 ชุมชนร่วมมือกับภาครัฐและชุมชนจีนในพื้นที่ สร้างศาลเจ้า “พ่อไต่เสี่ย” (เห้งเจีย) เป็นศูนย์รวมจิตใจและวัฒนธรรม
พ.ศ. 2540 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ไฟฟ้า และน้ำประปา เข้าถึงหมู่บ้านมากขึ้น
พ.ศ. 2544 ชุมชนเข้าร่วมโครงการตามแนวพระราชดำริ “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง” เริ่มปรับปรุงการใช้พื้นที่และพัฒนาการเกษตร
พ.ศ. 2560 บ้านกำแพงกลายเป็นจุดศึกษา “พหุวัฒนธรรม” ของภาคใต้ เนื่องจากอยู่ร่วมกันของชาวพุทธ มุสลิม และจีนอย่างสงบ
พ.ศ. 2566–ปัจจุบัน มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เช่น การจัดพิธีบูชาพ่อไต่เสี่ย และการท่องเที่ยวชุมชนในบริเวณภูเขากำแพง
มีสภาพภูมิประเทศเป็นเทือกเขาและป่าไม้ (ป่าพรุเสม็ด) เป็นส่วนใหญ่ มีที่ราบลุ่มทุ่งนา ดินมีลักษณะเป็นดินทราย ดินป่าพรุมีน้ำท่วมขังและเปรี้ยวฝาด ลักษณะอากาศเป็นแบบมรสุมเขตร้อนมี 2 ฤดู คือ
- ฤดูร้อน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - เดือนเมษายน
- ฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤศจิกายน - เดือนมกราคม
อาณาเขต
- ทิศเหนือ ติดต่อกับหมู่ที่ 1 บ้านยาบี
- ทิศใต้ ติดต่อกับหมู่ที่ 7 บ้านรอตันบาตู
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับหมู่ที่ 1 บ้านยาบี และหมู่ที่ 7 บ้านรอตันบาตู
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับตำบลลำภูและตำบลบางปอ
ประชากรบ้านกำแพง หมู่ที่ 2 ตำบลกะลุวอ อำเภอเมืองนราธิวาส ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ได้แก่ ปลูกยางพารา สับปะรด มันสำปะหลัง และพืชผักสวนครัว ทำปศุสัตว์และประมง เช่น เลี้ยงไก่พื้นบ้าน เป็ด วัว เลี้ยงปลาในกระชังตามแหล่งน้ำธรรมชาติ และมีการทำหัตถกรรมในครัวเรือน เช่น การทำผ้าบาติก การแปรรูปอาหาร เช่น ข้าวเกรียบปลา กล้วยฉาบ ปลาส้ม เป็นต้น
นอกจากนี้มีการรวมกลุ่มเพื่อส่งเสริมอาชีพและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน เช่น กลุ่มแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เช่น กล้วยฉาบ มะม่วงแช่อิ่ม น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น กลุ่มแม่บ้านขนมพื้นเมือง เช่น ขนมต้ม ขนมลา โรตี ขนมจูจู้ ใช้ในงานบุญและขายเป็นรายได้เสริม
มกราคม : สวดมนต์ข้ามปี (ไทยพุทธ)- เตรียมงานตรุษจีน ศาลเจ้าพ่อไต่เสี่ยเริ่มจัดเตรียมพิธี
กุมภาพันธ์ : เทศกาลตรุษจีน (ไหว้เจ้า / ละเล่นมังกร)- เยี่ยมเยียนญาติ / ทำบุญร่วมกัน ชุมชนจีนจัดใหญ่ที่ศาลเจ้าเห้งเจีย คนมุสลิมและไทยพุทธร่วมแสดงความยินดี
มีนาคม – เมษายน : งาน สงกรานต์ (ไทยพุทธ)- ทำบุญกลางบ้าน / รดน้ำผู้สูงอายุ มีพิธีรดน้ำขอพรข้ามกลุ่มชาติพันธุ์
เมษายน – พฤษภาคม : เริ่มเดือนรอมฎอน- เวลาประกอบศาสนกิจเปลี่ยนไป มุสลิมถือศีลอด ชาวอื่นให้ความร่วมมือ ไม่รบกวนเวลาละหมาด
มิถุนายน : วันฮารีรายอ (อีดิลฟิตรี) ชาวบ้านเยี่ยมบ้านกันทั้งชุมชน แจกขนม-ของฝาก
กรกฎาคม : วันเข้าพรรษา- วันอาสาฬหบูชา ชาวพุทธเข้าวัด ถือศีล ช่วยกันทำความสะอาดวัด
สิงหาคม : วันแม่แห่งชาติ- ประชุมกลุ่มอาชีพประจำไตรมาส จัดกิจกรรมแม่ดีเด่นในระดับหมู่บ้าน
กันยายน : งานบุญ สารทไทย- ปลายเดือนมี ฮารีรายออีดิลอัฎฮา (รายอใหญ่) ทั้งมุสลิมและพุทธร่วมทำข้าวยำ แจกอาหาร
ตุลาคม : งาน บุญเดือนสิบ (ไทยพุทธ)- ทำบุญอุทิศให้บรรพบุรุษ ชาวพุทธทำขนมลา ข้าวต้มมัด มุสลิมร่วมสมทบด้วย
พฤศจิกายน : ประชุมประจำปีของศาลเจ้าพ่อไต่เสี่ย- กิจกรรมปลูกต้นไม้ / บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ความร่วมมือข้ามกลุ่มชาติพันธุ์
ธันวาคม : วันพ่อแห่งชาติ- งานปีใหม่ / สวดมนต์ข้ามปี (เริ่มเตรียมงานล่วงหน้า) มีการจัดงานรวมกลุ่มอาชีพ แสดงผลงานปลายปี
ด้านทรัพยากรธรรมชาติ : พื้นที่เกษตรอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การปลูกยางพารา, พืชไร่) มีภูเขารูปกำแพงธรรมชาติ
ด้านภูมิปัญญา : ภูมิปัญญาการทำขนมพื้นบ้าน การปลูกและการแปรรูปพืชสมุนไพร มีองค์ความรู้เกษตรยั่งยืนจากศูนย์พิกุลทอง
ทุนทางวัฒนธรรมและความเชื่อ : ศาลเจ้าพ่อไต่เสี่ย (เห้งเจีย) ศูนย์รวมจิตใจของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ประเพณีทั้งไทยทั้งพุทธ จีน และอิสลาม อยู่ร่วมกันในปฏิทินชุมชนเดียว
- ภาษาไทย ใช้ในโรงเรียน หน่วยงานราชการ การติดต่อราชการ
- ภาษามลายูท้องถิ่น (ยะวีย์) ใช้ในชีวิตประจำ และใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา บางครั้งผสมไทย/อาหรับ
"ศาลเจ้าพ่อไต่เสี่ย (เห้งเจีย)"
ศาลเจ้าพ่อไต่เสี่ย บ้านกำแพง แม้อายุศาลเจ้าแห่งนี้จะยังไม่มากนักเมื่อเทียบกับศาลเจ้าอื่น ๆ คือประมาณ 36 ปีนับตั้งแต่ พ.ศ. 2529 แต่ก็เป็นศาลเจ้าแห่งหนึ่งที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่ศรัทธาของผู้คนทั้งในและนอกพื้นที่จนไปถึงทางฝั่งมาเลเซีย
ย้อนกลับไปก่อนจะมาเป็นศาลเจ้าพ่อไต่เสี่ยซึ่งตั้งอยู่บริเวณโครงการอ่างเก็บน้ำพิกุลทองในปัจจุบัน ศาสนสถานแห่งนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากกิมซิ้นหรือองค์พระไต่เสี่ยฮุกโจ้ว ที่มารดาของคุณสุวรรณ หวังสันติ ได้รับสืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษที่เมืองจีน และได้ตั้งบูชากันภายในครอบครัว แต่ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ทำให้มีเพื่อนบ้านที่กำลังตกทุกข์ได้ยากแวะเวียนมาสักการะบูชาเป็นครั้งคราว จนเมื่อคุณสุวรรณอายุได้ 12 ปี เกิดเจ็บป่วยด้วยโรคดีซ่านอยู่เป็นเวลานานจนครอบครัวทำใจเตรียมโลงศพไว้ เคราะห์ดีที่วันหนึ่งมารดาของคุณสุวรรณได้พาเขาไปพบร่างทรงที่ศาลเจ้าแม่โต๊ะโมะที่อำเภอสุไหงโกลก จึงทราบว่าอาการป่วยเป็นสัญญาณว่าองค์เทพ “ไต่เสี่ยฮุกโจ้ว” หรือ “เห้งเจีย” ต้องการให้คุณสุวรรณเป็นร่างทรงของท่านเพื่อช่วยเหลือผู้คน เมื่อทราบเช่นนั้นและได้มอบตัวเป็นลูกศิษย์ขององค์เห้งเจีย อาการเจ็บป่วยของคุณสุวรรณก็ดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ยังเป็นเด็กและไม่ต้องการให้เพื่อนวัยเดียวกันล้อเลียนว่าตนเป็นบ้า คุณสุวรรณพยายามทุกวิถีทางที่จะหนีจากการเป็นร่างทรง แต่เมื่ออายุได้ 18 ปี ก็ไม่อาจที่จะหนีจากภารกิจที่องค์เห้งเจียมอบหมายให้ได้อีกต่อไป จึงได้ตัดสินใจดำเนินชีวิตตามลิขิตสวรรค์และเริ่มต้นศึกษาทางด้านนี้อย่างจริงจัง
คุณสุวรรณได้ร่ำเรียนวิชาและทำพิธีเบิกเนตรเบิกโอษฐ์จากอาจารย์บุญ บุญรักษ์ ร่างทรงประจำศาลเจ้าแม่โต๊ะโมะในขณะนั้น และได้รับใช้อาจารย์อยู่หลายปี ก่อนตัดสินใจกลับมาช่วยกิจการของครอบครัวที่บ้านกำแพงตามคำขอของบิดา เมื่อกลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว วันหนึ่งในช่วงปลาย พ.ศ. 2529 องค์เห้งเจียได้เข้าประทับทรงและสั่งให้อัญเชิญองค์พระของท่านขึ้นประทับเกี้ยว ออกหามไปหาที่ประดิษฐานจนมาเลือกบริเวณอ่างเก็บน้ำพิกุลทอง ซึ่งด้านหน้าของที่ดินเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ด้านหลังเป็นป่าสวนยาง และด้านข้างเป็นทิวเขาทอดยาว เมื่อเลือกสถานที่แล้ว องค์เห้งเจียได้บอกลูกหลานผ่านร่างทรงด้วยภาษาแบบชาวบ้านว่า “อีก 3 ปี กูจะมีบ้านใหม่” จากนั้น มารดาของคุณสุวรรณจึงได้บริจาคที่ดินผืนนั้นให้สำหรับสร้างศาลเจ้าซึ่งในช่วงต้นเป็นเพียงเพิงไม้หลังคามุงใบจาก ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ขององค์เห้งเจีย 3 ปีต่อมาได้มีพ่อค้าหนุ่มผู้หนึ่งที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจตามที่ได้บนบานต่อองค์เห้งเจียไว้ได้นำปัจจัยมาถวายเพื่อสร้างศาลเจ้าจนแล้วเสร็จและทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2532 ตามที่ท่านประกาศไว้ทุกประการ
นับแต่นั้น ชื่อเสียงของศาลเจ้าพ่อไต่เสี่ย บ้านกำแพง และคุณสุวรรณหรือที่ขณะนี้ชาวบ้านเรียกกันว่า “อาจารย์แอ๊ะ” ก็เป็นที่นับถือลือเลื่องไปทั่วโดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่ปรารถนาโชคลาภจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และผู้ที่ถูกมนตร์ดำคุณไสย ไม่เพียงแต่บารมีขององค์เห้งเจียเท่านั้น ผู้คนที่หลั่งไหลมาที่ศาลเจ้าแห่งนี้ยังมีโอกาสกราบสักการะเทพเจ้าอื่น ๆ ด้วย เช่น เจ้าแม่กวนอิม พระหมอทรงม้า เป็นต้น โดยเทพเจ้าเหล่านี้ล้วนแล้วแต่อัญเชิญมาประดิษฐานที่ศาลเจ้าตามคำสั่งขององค์เห้งเจียที่บอกผ่านร่างทรง
ลักษณะที่น่าสนใจประการหนึ่งของศาลเจ้าแห่งนี้ คือ เทวลักษณะขององค์พระเห้งเจีย องค์แรกเป็นปางนั่งบัลลังก์ มือซ้ายถือคทา มือขวาทำมุทรา องค์พระนี้เป็นองค์พระดั้งเดิมคือเป็นปางเดียวกับองค์พระแรกเริ่มของครอบครัว แม้จะมีการทำพิธีเผาองค์พระเดิมแล้วนำมวลสารมาใส่องค์พระใหม่เพื่อสืบทอดความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระเดิมที่เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา สำหรับองค์ที่สอง มีลักษณะเป็นปางยืนขี่เมฆ มือขวาป้องตาเพื่อใช้ตาทิพย์ทั้งมองอดีต ปัจจุบัน และอนาคตช่วยเหลือผู้คน มือขวาถือไม้กระบองวิเศษ องค์สุดท้ายนั้นเป็นองค์ที่มีขนาดเท่าคนจริงและประทับนั่งบัลลังก์เป็นประธาน อยู่ตรงกลางระหว่างสององค์แรก โดยมือซ้ายของท่านถือคทาหรูอี้ มือขวาถือไม้กระบองวิเศษ กล่าวกันว่าเทวลักษณะขององค์พระเห้งเจียในศาลเจ้าแห่งนี้เป็นไปตามคำสั่งของท่านที่ประสงค์ให้มีทั้งปางนั่ง (ปางบุ๊น) และปางยืน (ปางบู๊) เพื่อที่จะช่วยเหลือเหล่าลูกหลานที่มากราบสักการะได้อย่างรอบด้าน
งานสมโภชของศาลเจ้าพ่อไต่เสี่ย บ้านกำแพง จัดขึ้นช่วงวันเทวสมภพขององค์เห้งเจีย ซึ่งจะตรงกับช่วงเดือนกันยายนของทุกปี ในงานจะมีการแห่พระลุยไฟ ที่พิเศษ คือ การประมูลองค์พระเห้งเจียและแม่เต่าเงินและแม่เต่าทองคำ โดยผู้ที่ชนะการประมูลจะได้นำวัตถุมงคลนี้ไปบูชาส่วนตัวเป็นเวลา 1 ปี และนำกลับมาคืนศาลเจ้าก่อนงานสมโภชปีถัดไป ด้วยศรัทธาของลูกหลานที่มีต่อองค์เห้งเจีย องค์พระที่เปิดให้ประมูลนี้จึงมีได้รับอัญเชิญไปสถิตเป็นมิ่งขวัญทั้งในประเทศ และต่างประเทศตามบุญสัมพันธ์ที่ท่านมีต่อลูกหลานแต่ละคนแต่ละปีสำหรับลูกหลานที่ศรัทธาองค์เห้งเจีย โดยเฉพาะผู้ที่เกิดปีนักษัตรวอก (ปีลิง) นั้นในปีที่ตรงกับปีนักษัตรวอกจะมีการเชิญพระเห้งเจียองค์ใหญ่ซึ่งเป็นองค์ประธานของศาลเจ้าแห่งนี้ ประทับเกี้ยวออกแห่ในงานสมโภชเป็นสิริมงคลแก่ลูกหลานด้วย
ท่ามกลางกระแสศรัทธาที่น้อมนำลูกหลานผู้มีจิตศรัทธาให้หลั่งไหลมากราบไหว้องค์เห้งเจียจนสามารถจัดกิจกรรมอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงงานสมโภช เช่น เมื่อ พ.ศ. 2538 มีการจัดหนังกลางแปลงและมโนห์รา รวมถึงมีการจุดประทัดถวายถึงแสนนัด ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของศาลเจ้าแห่งนี้อย่างประมาณมิได้ กล่าวคือ ด้วยที่ตั้งของศาลเจ้าที่อยู่นอกตัวเมืองและอยู่ในพื้นที่ที่ล้อมด้วยป่าและภูเขา ผู้คน ทั้งที่อยู่ในและนอกพื้นที่ชายแดนใต้กังวลด้านความปลอดภัยและไม่กล้าเดินทางมากราบสักการะ ส่งผลต่อเนื่องถึงปัจจุบันที่บางเดือนไม่มีผู้มากราบสักการะเลยทำให้ศาลเจ้าขาดปัจจัยในการจัดการและบูรณะ ศาลเจ้าในปัจจุบันจึงอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมมาก เปรียบเสมือนมังกรหลับใหลหรือไม่ก็วานรจำศีล ที่รอเวลาตื่นหรือออกจากการปฏิบัติเพื่อเผยแผ่บารมีอย่างเต็มกำลังอีกครั้งหนึ่ง
กรมการปกครอง. (2567). สถิติจำนวนประชากรทางการทะเบียนราษฎร. สืบค้นจาก https://stat.bora.dopa.go.th
นิสรารินดา ยินนิโซะ, สุชาวดี บัวผัน และศุภธัช คุ้มครอง. (2567). เทพเจ้าเห้งเจียแห่งชายแดนใต้ : บทบาทหน้าที่ของการบูชาเจ้าพ่อไต่เสี่ยบ้านกำแพง ตำบลกะลุวอ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 24(2), 401-431.
ไทยศึกษา. (2566). ศาลเจ้าพ่อไต่เสี่ยบ้านกำแพง นราธิวาส. สืบค้นจาก http://www.thaistudies.chula.ac.th
องค์การบริหารส่วนตำบลกะลุวอ. (ม.ป.ป.). ข้อมูลอบต. สืบค้นจาก http://kaluwo.go.th