Advance search

ชุมชนบ้านโนนทันมีจุดเด่นด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นที่หลากหลาย ทั้งการทอผ้า การแสดงหมอลำพื้นบ้าน และการทำกลองยาว โดยมีการรวมกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมอย่างเข้มแข็ง ควบคู่กับการทำเกษตรแบบวนเกษตรที่สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารจากทรัพยากรธรรมชาติ

หมู่ที่ 1
บ้านโนนทัน
โนนทัน
เมืองหนองบัวลำภู
หนองบัวลำภู
อบต.โนนทัน โทร. 0 4200 0048
ญาณิศา ลาภลิขิต
30 ก.ค. 2025
ญาณิศา ลาภลิขิต
3 ส.ค. 2025
บ้านโนนทัน


ชุมชนชนบท

ชุมชนบ้านโนนทันมีจุดเด่นด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นที่หลากหลาย ทั้งการทอผ้า การแสดงหมอลำพื้นบ้าน และการทำกลองยาว โดยมีการรวมกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมอย่างเข้มแข็ง ควบคู่กับการทำเกษตรแบบวนเกษตรที่สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารจากทรัพยากรธรรมชาติ

บ้านโนนทัน
หมู่ที่ 1
โนนทัน
เมืองหนองบัวลำภู
หนองบัวลำภู
39000
17.25488892565058
102.55516708936533
องค์การบริหารส่วนตำบลโนนทัน

ชุมชนโนนทัน ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 1 ของตำบลโนนทัน อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู ห่างจากตัวเมืองหนองบัวลำภูประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ เดิมตั้งอยู่ระหว่างหุบเขาใกล้ลำธาร ซึ่งมีต้นมะเดื่อจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านว่า "ห้วยเดื่อ" ต่อมาชุมชนได้ขยายตัวจากการอพยพเข้ามาของผู้คนในช่วง พ.ศ. 2512-2525 ยุคที่มีความขัดแย้งทางการเมือง จึงเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านเป็น "โนนทัน"

ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง สลับกับพื้นที่ลาดตื้นถึงลาดลึก มียอดภูที่สูงที่สุดคือ "ภูผาเพ" สูงประมาณ 527 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินปนทรายและลูกรัง ซึ่งไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ดีในฤดูแล้ง อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 26.6 องศาเซลเซียส

ในด้านสังคมและวัฒนธรรม ชุมชนโนนทันเกิดจากการรวมตัวของผู้คนที่อพยพมาจากหลายพื้นที่ใน 3 ช่วงเวลา คือ

  1. กลุ่มแรกเป็นคนลาวเวียงและกลุ่มคนไตที่อพยพจากสงครามเดียนเบียนฟู
  2. กลุ่มที่สอง คือ คนจากจังหวัดนครราชสีมา อุบลราชธานี ยโสธร และร้อยเอ็ด ที่อพยพมาในช่วงปี พ.ศ. 2485
  3. กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มคนที่อพยพจากหลายพื้นที่ในช่วงยุคคอมมิวนิสต์ ระหว่างปี พ.ศ. 2512-2525

คนในพื้นที่จึงแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ

  1. กลุ่มคนลาว (เวียงจันทน์) ซึ่งเป็นกลุ่มดั้งเดิม อาศัยอยู่รอบนอกเมืองหนองบัวลำภูและเข้ามาทำไร่บนภูเขา
  2. กลุ่มคนจีน-ญวน อพยพมาจากมณฑลกวางตุ้งและยูนหนานในช่วงรัชกาลที่ 4 ตามพระราชดำริให้กระจายตัวไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ภายหลังได้แต่งงานกับคนในพื้นที่
  3. กลุ่มคนไตที่อพยพจากสงครามเดียนเบียนฟู และตั้งรกรากอยู่ในจังหวัดหนองบัวลำภู
  4. กลุ่มคนจากจังหวัดนครราชสีมา อุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอ็ด และพื้นที่อื่น ๆ ที่เข้ามาในช่วงสงครามกลางเมืองยุคคอมมิวนิสต์

ชุมชนโนนทันจึงมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและได้หลอมรวมกันภายใต้ระบบนิเวศของพื้นที่ป่าและภูเขา โดยคนในชุมชนเรียกตัวเองว่า "คนภู" ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น ทำนา ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงสัตว์ ค้าขาย รับจ้าง หาของป่ามาขาย รวมถึงการทำเครื่องปั้นดินเผา

ปัจจุบัน ประชากรบางส่วนย้ายออกไปเป็นแรงงานในพื้นที่อื่นหลังฤดูเก็บเกี่ยว ผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญของชุมชน ได้แก่ ของป่า มันสำปะหลัง อ้อย ข้าว ลำไย มะขาม มะม่วง และพืชผักต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการรวมกลุ่มเป็นกลุ่มสัมมาชีพ ได้แก่ กลุ่มจักสาน กลุ่มเครื่องปั้นดินเผา กลุ่มทอผ้า กลุ่มแปรรูปผลผลิตการเกษตร กลุ่มไผ่หญ้า กลุ่มเลี้ยงโคเนื้อ กลุ่มเกษตรอินทรีย์ กลุ่มเลี้ยงไก่ และกลุ่มโรงสีชุมชน

ชุมชนบ้านโนนทันตั้งอยู่ในหมู่ที่ 1 ของตําบลโนนทัน ซึ่งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู อยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดหนองบัวลําภู อยู่ห่างจากตัวจังหวัด 11 กิโลเมตรมีอาณาเขตขององค์การบริหารส่วนตําบลโนนทันติดต่อกับตําบลต่าง ๆ ดังนี้

  • ทิศเหนือ ติดต่อกับ ตําบลน้ำพ่น อําเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
  • ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตําบลหมากหญ้า อําเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
  • ทิศใต้ ติดต่อกับ ตําบลหนองอ้อ อําเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
  • ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตําบลหนองบัว อําเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลําภู

ข้อมูลประชากรจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง พ.ศ. 2568 พบว่า หมู่ที่ 1 บ้านโนนทัน มีประชากรในชุมชน จำนวน 1,009 คน แบ่งเป็นชาย 510 คน และหญิง 499 คน ภายในชุมชนมีจำนวนบ้านทั้งหมด 311 หลังคาเรือน (ข้อมูลเดือนมกราคม 2568)

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ด้านพิธีกรรม ประเพณี และความเชื่อ

การบายศรีสู่ขวัญ เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์หรือเรียกว่า "การสู่ขวญ" หรือ "สวดขวัญ" เป็นพิธีกรรมสวดเพิ่มมงคลตามฮีตคองของวิถีคนอีสาน มีความเกี่ยวโยงกับภูมิปัญญาการเย็บใบตองบายศรีและการสวดขวัญภาษาถิ่น โดยทั่วไปใช้ประกอบพิธีมงคลเพื่อเชิญขวัญเจิตวิญญาณ) ให้ความสุขปลอดภัย และมงคลแก่ผู้เข้าร่วมพิธี ปัจจุบันได้ปรับใช้กับพิธีกรรมอื่นๆ เช่น งานมงคลสมรส และ งานขึ้นบ้านใหม่ ร่วมกับการจัดเลี้ยงแบบสากล

การฟ้อนเชิญขวัญ เป็นการฟ้อนรำประกอบพิธีสวดขวัญ โดยแสดงหลังจากเสร็จพิธีสวดเชิญขวัญแล้วเชื่อว่าเป็นการนำส่งจิตวิญญาณที่เคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในป่า โดยใช้นางรำเป็นสตรีสาวที่คัดเลือกและ มีการ ฝึกฝนไว้ จำนวนสี่คนขึ้นไป แต่งกายแบบพื้นบ้านอีสาน ใช้ท่ารำอ่อนช้อยนอบน้อมแสดงความเคารพต่อสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ หลังจากเสร็จพิธีฟ้อนรำแล้วจะผูกข้อมือต้อนรับขวัญคืนด้วยฝ้ายด้ายดิบสีขาว พร้อมกล่าวคำต้อนรับเรียกรับขวัญให้มาสถิตแก่ผู้เข้าร่วมพิธี ปัจจุบันจะแสดงฟ้อนเชิญขวัญประกอบพิธีบุญเบิกบ้านเท่านั้น

บุญเบิกฟ้า เป็นพิธีกรรมสำคัญที่จัดขึ้นในวันที่ 2 มกราคมของทุกปี แตกต่างจากชุมชนอื่น ๆ ที่จะทำใน บุญเดือนห้า (ช่วงเดือนเมษายน) มีที่มาจากเหตุการณ์โรคระบาด เมื่อ 60 ปีก่อน (ปี พ.ศ. 2500) มีคนล้มตาย ติดต่อกัน ชาวบ้านเชื่อว่าผีบรรพบุรุษตักเตือนลูกหลาน จึงจัดพิธีบวงสรวงและแก้เคล็ดจนกลายเป็นงานบุญเพณีในเวลาต่อมา โดยสมาชิกทุกคนรวมทั้งเครือญาติต้องเข้าร่วมพิธีกรรมทุกปี โดยจะนำข้าวปลาอาหารและบริจาคทรัพย์เป็นต้นผ้าป่าถวายวัด มีพิธีสวดมงคลบ้าน ในระหว่างพิธีจะมีการฟ้อนรำเบิกขวัญและการรำเบิก ฟ้าใช้นางรำเป็นสตรีคนเดียว ที่ได้รับคัดเลือกโดยไม่ใช้ซ้ำกันทุกปี แต่งกายแบบพื้นบ้านอีสาน ท่ารำอ่อนช้อยเพื่อแสดงความเคารพและการขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลังจากฟ้อนรำแล้วจะทำการผูกข้อมือของสมาชิกชุมชนโดยใช้ฝ้ายมงคลสีขาวทำจากด้ายดิบพร้อมกล่าวคำกล่าวอวยพรโดยหมอพราหมณ์และผู้อาวุโสของชุมชน

บุญประเพณีตามฮีต คอง (ฮีตสิบสอง คองสิบสี่) เป็นพิธีกรรมสำคัญของชุมชนที่คล้ายคลึงกับพิธีกรรมของชุมชนคนอีสานอื่น ๆ แต่จะแตกต่างกันในส่วนของกิจกรรม ที่ปัจจุบันยังคงสืบสานงานประเพณีฮีตสิบสองอย่างครบถ้วน แต่เน้นความสำคัญเฉพาะบางบุญประเพณี ด้วยว่ารากเหง้าชุมชนเป็นคนลาว (เวียงจันทน์) ที่ยังคงยึดปฏิบัติบุญประเพณีฮีตคองค่อนข้างเคร่งครัด ซึ่งเดิมวันสำคัญเหล่านี้จะกำหนดตามปฏิทินจันทรคติ แต่ปัจจุบันยึดตามปฏิทินราชการ คนในชุมชนนิยมไปวัดทำบุญโดยแต่ละบุญประเพณีจะมีสัญลักษณ์ พิธีกรรมแยกย่อยลงไปแตกต่างกัน

เวลา บุญประเพณี กิจกรรม
เดือนอ้าย พิธีเลี้ยงผีฟ้าผีแถน บุญเบิกบ้าน สู่ขวัญบ้าน เลี้ยงผีบ้าน รำบวงสรวง
เดือนยี่ จะมีพิธีทำบุญข้าวคูนลาน ถวายเข้าเปลือก
เดือนสาม บุญข้าวจี่ บุญมาฆบูชา ถวายข้าวจี่
เดือนสี่ บุญผะเหวด หรือ บุญมหาชาติ แห่ผ้าผะเหวด
เดือนห้า วันเนาว์ วันปีใหม่ลาว รดน้ำดำหัวผู้อาวุโส
เดือนหก บุญวิสาขะบูชา และบุญบั้งไฟ แห่บั้งไฟ จุดบั้งไฟถวายแถน
เดือนเจ็ด บุญเลี้ยงปู่ตา (เตรียมการทำไร่ทำนา) พิธีเลี้ยงผีไร่ นา สวน
เดือนแปด เข้าพรรษา บุญวันอาสาฬหบูชา ถวายเทียนพรรษา
เดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน พิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษ
เดือนสิบ บุญข้าวสลาก ถวายข้าวสาก (ข้าวเปือกคั่ว)
เดือนสิบเอ็ด บุญออกพรรษา ฟังธรรมะ
เดือนสิบสอง บุญกฐิน บุญกฐิน
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ทุนวัฒนธรรม

ด้านศิลปกรรม

  • การแสดงกลองยาวและการผลิตเครื่องดนตรีพื้นบ้าน มีจุดเริ่มต้นในยุคที่ดำเนินชีวิตในป่าและใช้กลองเป็นเครื่องดนตรีสำหรับงานรื่นเริงในเทศกาลและประเพณีต่าง ๆ ขณะต่อสู้ทางการเมืองยุคคอมมิวนิสต์ จึงเกิดเป็นภูมิปัญญาการผลิตเครื่องดนตรีพื้นบ้าน ปัจจุบันได้จัดตั้งเป็นกลุ่มอนุรักษ์กลองยาวและเครื่องดนตรีพื้นบ้าน ขึ้น เพื่อรับจ้างแสดงดนตรีตามงานต่าง ๆ มีการผลิตเครื่องดนตรีพื้นบ้านหลายชนิด อาทิ พิณไม้ขนุน ซอกะลามะพร้าวและหนังงู และกลองหนังควาย โดยผลิตตามคำสั่งซื้อเฉพาะเท่านั้น
  • การแสดงหมอลำพื้นบ้าน คนชุมชนโนนทันนับเป็นชุมชนที่มีทักษะ ความสามารถในการแสดงหมอลำ ที่น่าสนใจมาก เดิมเป็นการแสดงประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อและใช้แสดงหมอลำเพื่อปลุกระดมต่อสู้ทางการเมืองยุคคอมมิวนิสต์ทำให้เนื้อหาส่วนใหญ่จึงแตกต่างจากการแสดงหมอลำพื้นบ้านของพื้นที่อื่นๆ ปัจจุบันใช้เป็นการแสดงเพื่อความรื่นเริงในงานเทศกาลหรือประเพณี เช่น ผ้าป่า กฐิน งานบวชนาค มีรูปแบบแสดงหมอลำพื้นบ้านหลายประเภท อาทิ (1) หมอลำพื้น คือ เป็นการแสดงลำคนเดียว มีเนื้อหาเกี่ยวกับนิทาน คติสอนใจ ตลอดจนเรื่องราวบ้านเมืองต่าง ๆ (2) หมอลำกลอน คือ เป็นการแสดงคู่ชายหญิงที่ลำเกี่ยวกับเรื่องราวของความรักโต้ตอบกัน (3) หมอลำหมู่ เป็นเป็นการแสดงกลุ่มของหมอลำที่ลำเป็นนิทานพื้นบ้าน (4) หมอลำเพลิน เป็นคณะหมอลำที่ลำเรื่องใช้ทำนองสนุกสนานผสมดนตรีสากล และ (5) หมอลำผีฟ้า คือ เป็นการแสดงลำรักษาคนเจ็บไข้ จัดเป็นการละเล่นเชิงพิธีกรรม
  • การแสดงรำวงคองก้า เป็นการละเล่นที่นิยมมากในช่วงที่ดำเนินชีวิตในป่า โดยรับเอาการละเล่นจากกระแสนิยมช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี โดยประยุกต์จากการแสดงรำโทนของภาคกลาง แต่ปรับใช้กลองหนังควายตีจังหวะแทนกลองโทน การรำเน้นตามจังหวะเสียงกลองและเพลงประกอบ มีจุดเด่นคือ การยักไหล่และการทิ้งสะโพก ปัจจุบันการละเล่นรำวงคองก้าเป็นเพียงการแสดงเพื่อการอนุรักษ์และถ่ายทอดความรู้แก่คนรุ่นใหม่หรือสถานศึกษาเท่านั้น

ด้านเกษตรกรรม

  • การทำสวนแบบวนเกษตร ด้วยชุมชนตั้งอยู่ในพื้นที่สูงสลับพื้นที่ลาดตื้นถึงลาดลึก ดังนั้นการปลูกไม้ผล จึงเป็นการปลูกผสมสมกับป่าธรรมชาติ และกลายเป็นรูปแบบเฉพาะสวนป่าแบบผสมผสาน เป็นรูปแบบองค์ความรู้ ทักษะ และเทคนิคด้านการเกษตรในการทำสวนผลไม้เพื่อใช้ประโยชน์จากไม้ป่าและสวนผลไม้ เน้นปลุกไม้ยืนต้นและผลไม้ท้องถิ่น ตลอดจนไผ่หลากหลายชนิดปะปนกันไปกับป่า ซึ่งก่อให้เกิดการเกื้อกูลกัน คือ ป่าให้ร่มเงาและความชุ่มชื้นช่วยสร้างธาตุอาหารในดิน กลายเป็นปุยธรรมชาติ ลดต้นทุนได้ ถือเป็นองค์ความรู้ด้านการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างพืชกับพืช และคนกับป่า ก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากป่าที่มีความมั่นคงทางอาหารของชุมชน ผลผลิตที่ได้หลายชนิดจากสวนป่าและสวนผลไม้แบบผสมผสาน อาทิ พื้นจำพวกหัว ได้แก่ มันป่าชนิดต่าง ๆ พื้นจำพวกเหง้าได้แก่ ขิงป่า ข่าป่า พืชจำพวกไม้เลื้อย ผลไม้ป่า เป็นรูปแบบการสร้างอาหารและรายได้ยั่งยืนนำมาสู่การเป็นค้าในตลาดชุมชน
  • การทำนาตามไหล่เขา การที่ชุมชนตั้งในภูมิประเทศพื้นที่ที่ราบสูงสลับพื้นที่ลาดตื้นถึงลาดลึก ทำให้มีข้อจำกัดของพื้นที่ปลูกข้าว การทำนาปลูกข้าวจึงปรับใช้ประโยชน์จากพื้นที่ราบระหว่างเขาให้กลายเป็นนาแบบลาดเอียง ปลูกข้าวเหนียวพันธุ์ท้องถิ่นต่าง ๆ อาทิ พันธุ์สันปาตอง พันธุ์ข้าวหากนาก พันธุ์มะขาม และข้าวเหนียวดำ สำหรับที่ค่อนข้างราบ ส่วนที่สูงชันจะใช้พันธุ์ข้าวไร่ โดยปลูกผสมกับพื้นอื่น ๆ ในฤดูฝน รูปแบบการทำนาจึงมีกรรมวิธี 3 วิธี คือ (1) การหว่านหรือการหว่านข้าวแห้ง เริ่มทำต้นฤดูฝน ประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม ได้ผลผลิต 300-350 กิโลกรัมต่อไร่ (2) การปักดำ เริ่มตกกล้าประมาณปลายเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม และเริ่มปักดำในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ส่วนใหญ่ทำในพื้นที่ราบตามไหล่เขาจะใช้พันธุ์ข้าวพันธุ์ดีหรือพื้นเมือง ได้ผลผลิต 400-500 กิโลกรัมต่อไร่ (3) การหยอดข้าว เริ่มทำต้นฤดูฝน ประมาณเดือนมิถุนายนทำในพื้นที่สูงลาดชันจะใช้พันธุ์ข้าวไร่ โดยปลูกผสมกับพื้นอื่น ๆ การทำสวนเกษตรอินทรีย์ปลอดสารพิษ เป็นการปลูกผักพืชเมืองหนาวและผักสวนครัว โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์และปุ่ยอินทรีย์ที่ผสมเอง โดยจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางของชุมชนที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพัน ปีหลวงในครั้งที่ทรง เสด็จเยี่ยมชุมชนในสมัย พ.ศ. 2525 เน้นปลูกพืชผักสวนครัวแบบผสมผสาน ผักที่นิยมปลูกได้แก่ ผักพืชเมืองหนาว ผักกาดหอม ผักกาดแก้ว ผักกวางตุ้ง มะเขือเทศ ดอกแค กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว ผักอีตู่เป็นต้น
  • การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ไว้บริโภคและจำหน่าย ปัจจุบันจัดตั้งเป็นกลุ่มสัมมาชีพเพื่อผลิตเป็นรายได้เสริม โดยเน้นนำผลิตผลทางการเกษตรที่มากเกินหรือล้นตลาดมาแปรรูปมีหลากหลายชนิด อาทิ กล้วยตาก กล้วยฉาบ ชาใบหม่อน น้ำมัลเบอร์รี่ มะขามแช่อิ่ม มะม่วงดอง เป็นต้น

ด้านโภชนาการและอาหารท้องถิ่น

  • อาหารจากหน่อไม้ เป็นอาหารพื้นบ้านของชุมชนที่ทุกบ้านเรือนจะทำ โดยมีเมนูสำคัญคือ แกงหน่อไม้ที่มีส่วนผสมพิเศษที่หาได้จากป่า อาทิ "อีลอก" หรือ "บอนหวาน" หรือ "หวายป่า" นิยมทานตลอดปีด้วยการแปรรูปถนอมไว้ในรูปหน่อไม้ปี๊บ หน่อไม้ขวด หน่อไม้ดอง หน่อไม้ส้ม ซึ่งเก็บไว้ได้หลายเดือนและขายในฤดูแล้งเป็นรายได้เสริม
  • อาหารจากเห็ด ด้วยพื้นที่ชุมชนอยู่กลางป่าและภูเขา ใกล้เขตอุทยาน ในฤดูฝนจะมีเห็ดหลายชนิดให้เก็บเป็นอาหารและสร้างรายได้ อาทิ เห็ดแดง เห็ดก่อ เห็ดขาว เห็ดไค เห็ดเผาะ เห็นระโงก เห็ดโคน เป็นต้น ซึ่งบางชนิดมีราคาแพงมาก ปัจจุบันสามารถแปรรูปถนอมไว้เพื่อกินหรือขายสร้างรายได้ในฤดูแล้งได้
  • อาหารจากอึ่งอ่าง โดยในต้นฤดูฝน จะมีอึ่งอ่างจำนวนมากในป่า ชาวบ้านนิยมไปเจ็บมาทำอาหาร หรือนำมาขายสดให้คนเดินทางผ่านไป-มา ส่วนที่เหลือก็แปรรูปหรือถนอมไว้กินในฤดูอื่น ๆ อาทิ อึ่งย่าง อึ่งรมไฟหม่ำอึ่ง (ไส้กรอกอึ่ง) ปลาแดกอึ่ง (ปลาร้าอึ่งอ่าง) และแบ่งขายเป็นรายได้เสริมในตลาดชุมชน
  • การบองปลาร้า เป็นการแปรรูปอาหารที่มีรากเหง้าวัฒนธรรมการกินของชาวอีสาน โดยการนำปลาที่จับได้มาหมักในไหใส่เกลือลงไปและรำหรือข้าวคั่ว เรียกว่า ปลาร้าหรือปลาแดก เวลาปรุงอาหารจะใช้ปลาร้าเป็น วัตถุดิบหลัก โดยนำมาสับให้ละเอียดและใส่ตะไคร้ ข่า พริก ใบมะกรูด และมะนาว รับประทานกับ "ถั่วแฮ"หรือ "มะเดื่อ" เรียกเมี่ยงปลาแดกบอง (เมี่ยงปลาร้าบอง)
  • ข้าวโป่ง เป็นขนมในประเพณีบุญเดือนสี่ ทำจากข้าวเหนียวนำมานึ่งแล้วตำในครกกระเดื่อ โดยจะตำผสมรากสมุนไพร (ตดหมูตดหมา) เพื่อทำให้เกิดกลิ่นเฉพาะ นำไปปิ้งจนสุก ปัจจุบันมีกลุ่มผลิตเป็นสิน ค้าของฝากของชุมชน
  • ข้าวแดกงา เป็นขนมโบราณสำหรับพิธีเลี้ยงผีในเดือนอ้าย เดือนเจ็ด และเดือนเก้า ทำจากข้าวเหนียวนึ่งโดยใช้พันธุ์ข้าวไท้องถิ่นผสมน้ำอ้อย(น้ำตาลอ้อย) งา ถั่ว กะทิ โดยนำข้าวไปนึ่งให้สุกแล้วนำไปส่วนผสมอื่น ๆ ไปตำคลุกจนเหนียวติดไม้พาย มีลักษณะยืด เป็นขนมที่ทำเมื่อมีงานบุญประเพณีเท่านั้น

ด้านหัตถกรรม

  • การทอผ้า ถือเป็นมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นที่โดดเด่นที่สุดของชุมชน ปัจจุบันมีการจัดตั้งกลุ่มทอผ้า พื้นเมือง มีจุดริเริ่มการโครงการพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขณะที่ทรงเสด็จนมัสการหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่วัดถ้ำกลองเพล และทรงออกเยี่ยมราษฎรจึงมีพระราชดำริส่งเสริมอาชีพให้แก่ชุมชนโดยการฟื้นฟูการทอผ้าพื้นเมืองขึ้น การจัดตั้งศูนย์ศิลปาชีพพิเศษในโครงการพระราชูประถัมภ์ให้แก่ชุมชนโนนทัน ในปี พ.ศ. 2525 มอบที่ดิน และครูช่างจากศูนย์ศิลปาชีพไปสอนเพื่อยกระดับคุณภาพกระผลิต
  • การทำจักสานไม้ไผ่ เนื่องจากในบริเวณตั้งชุมชนมีไม้ไผ่หลากหลายชนิด จึงมีการนำมาใช้ประโยชน์ในการทำข้าวของเครื่องใช้ เป็นภาชนะต่าง ๆ อาทิ กระติบ เสื่อ สุ่มไก่ ข้องจับปลา ตลอดจนของใช้อื่น ๆ ปัจจุบัน มีการจัดวางจำหน่ายในชุมชนและมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาสั่งซื้อเครื่องจักสานอย่างต่อเนื่อง

ด้านแพทย์พื้นบ้าน

  • ภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน ด้วยว่าชุมชนตั้งในภูมิประเทศกลางภูเขา สมัยก่อนเดินทางไปรักษายากลำบาก จึงนิยมใช้วิธีการรักษาความเจ็บป่วยหลายแบบรวมกัน ทั้งการใช้สมุนไพร การเป่า การนวด การอาบ ร่วมกับพิธีกรรมเพื่อรักษาทางจิตใจควบคู่กับการรักษาทางกาย ซึ่งรูปแบบการรักษามีหลายวิธี อาทิ การต้มดื่ม ต้มอาบ พอก นวด ประคบ เป่า โดยทั้งหมดมักจะใช้สมุนไพรจากป่าเป็นหลัก จึงเป็นแหล่งความรู้ของหมอพื้นบ้านหลายประเภท ส่วนภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสมุนไพรถือว่าโดดเด่นมาก ปัจจุบันมีการนำสมุนไพรมาปรุงเป็นตำรับและวางจำหน่ายในตลาดชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

ประชาชนในชุมชนบ้านโนนทันส่วนใหญ่ใช้ ภาษาอีสาน หรือภาษาลาวสำเนียงท้องถิ่นหนองบัวลำภูเป็นหลัก โดยใช้ในการพูดคุยในครัวเรือน สื่อสารระหว่างเพื่อนบ้าน และในการประกอบพิธีกรรมทางวัฒนธรรม เช่น งานบุญ งานประเพณี และการแสดงหมอลำ อย่างไรก็ตาม คนในชุมชนสามารถสื่อสารด้วย ภาษาไทยกลาง ได้อย่างคล่องแคล่ว โดยเฉพาะในการติดต่อกับหน่วยงานราชการ การศึกษา และสื่อสารกับบุคคลภายนอก


ชุมชนมีทุนวัฒนธรรมด้านศิลปกรรม เช่น การแสดงหมอลำ การทำกลองยาว เครื่องดนตรีพื้นบ้าน การรำวงคองก้า และหัตถกรรมงานทอผ้า‑จักสาน ซึ่งเป็นบรรจุองค์ความรู้และตัวตนของชุมชน บุคคลภายนอก เช่น นักท่องเที่ยว หรือเทศกาล OTOP ให้โอกาสสร้างรายได้และกระตุ้นความภาคภูมิใจ

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ศรีรักษ์ ช. . (2565). การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนฐานมรดกภูมิปัญญาชุมชนบ้านโนนทัน จังหวัดหนองบัวลำภู: DEVELOPMENT OF CREATIVE TOURISM BASED ON COMMUNITY WISDOM HERITAGE OF BAN NONTHAN, NONGBUA LAMPU. วารสารวิชาการการท่องเที่ยวไทยนานาชาติ, 18(1), 86-111, สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2568, จาก https://so02.tci-thaijo.org

องค์การบริหารส่วนตำบลโนนทัน. (ม.ป.ป). ข้อมูลทั่วไปองค์การบริหารสำตำบลโนนทัน. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2568, จาก https://nonthan.go.th/fileupload/993054.pdf

กรมการปกครอง. (2567). ระบบสถิติทางการทะเบียน กรมการปกครอง. สืบค้นเมื่อ 30 กรกรฏาคม 2568, https://stat.bora.dopa.go.th

อบต.โนนทัน โทร. 0 4200 0048