ชุมชนบ้านโนนทันมีจุดเด่นด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นที่หลากหลาย ทั้งการทอผ้า การแสดงหมอลำพื้นบ้าน และการทำกลองยาว โดยมีการรวมกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมอย่างเข้มแข็ง ควบคู่กับการทำเกษตรแบบวนเกษตรที่สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารจากทรัพยากรธรรมชาติ
ชุมชนบ้านโนนทันมีจุดเด่นด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นที่หลากหลาย ทั้งการทอผ้า การแสดงหมอลำพื้นบ้าน และการทำกลองยาว โดยมีการรวมกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมอย่างเข้มแข็ง ควบคู่กับการทำเกษตรแบบวนเกษตรที่สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารจากทรัพยากรธรรมชาติ
ชุมชนโนนทัน ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 1 ของตำบลโนนทัน อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู ห่างจากตัวเมืองหนองบัวลำภูประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ เดิมตั้งอยู่ระหว่างหุบเขาใกล้ลำธาร ซึ่งมีต้นมะเดื่อจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านว่า "ห้วยเดื่อ" ต่อมาชุมชนได้ขยายตัวจากการอพยพเข้ามาของผู้คนในช่วง พ.ศ. 2512-2525 ยุคที่มีความขัดแย้งทางการเมือง จึงเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านเป็น "โนนทัน"
ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง สลับกับพื้นที่ลาดตื้นถึงลาดลึก มียอดภูที่สูงที่สุดคือ "ภูผาเพ" สูงประมาณ 527 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินปนทรายและลูกรัง ซึ่งไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ดีในฤดูแล้ง อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 26.6 องศาเซลเซียส
ในด้านสังคมและวัฒนธรรม ชุมชนโนนทันเกิดจากการรวมตัวของผู้คนที่อพยพมาจากหลายพื้นที่ใน 3 ช่วงเวลา คือ
- กลุ่มแรกเป็นคนลาวเวียงและกลุ่มคนไตที่อพยพจากสงครามเดียนเบียนฟู
- กลุ่มที่สอง คือ คนจากจังหวัดนครราชสีมา อุบลราชธานี ยโสธร และร้อยเอ็ด ที่อพยพมาในช่วงปี พ.ศ. 2485
- กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มคนที่อพยพจากหลายพื้นที่ในช่วงยุคคอมมิวนิสต์ ระหว่างปี พ.ศ. 2512-2525
คนในพื้นที่จึงแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ
- กลุ่มคนลาว (เวียงจันทน์) ซึ่งเป็นกลุ่มดั้งเดิม อาศัยอยู่รอบนอกเมืองหนองบัวลำภูและเข้ามาทำไร่บนภูเขา
- กลุ่มคนจีน-ญวน อพยพมาจากมณฑลกวางตุ้งและยูนหนานในช่วงรัชกาลที่ 4 ตามพระราชดำริให้กระจายตัวไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ภายหลังได้แต่งงานกับคนในพื้นที่
- กลุ่มคนไตที่อพยพจากสงครามเดียนเบียนฟู และตั้งรกรากอยู่ในจังหวัดหนองบัวลำภู
- กลุ่มคนจากจังหวัดนครราชสีมา อุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอ็ด และพื้นที่อื่น ๆ ที่เข้ามาในช่วงสงครามกลางเมืองยุคคอมมิวนิสต์
ชุมชนโนนทันจึงมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและได้หลอมรวมกันภายใต้ระบบนิเวศของพื้นที่ป่าและภูเขา โดยคนในชุมชนเรียกตัวเองว่า "คนภู" ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น ทำนา ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงสัตว์ ค้าขาย รับจ้าง หาของป่ามาขาย รวมถึงการทำเครื่องปั้นดินเผา
ปัจจุบัน ประชากรบางส่วนย้ายออกไปเป็นแรงงานในพื้นที่อื่นหลังฤดูเก็บเกี่ยว ผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญของชุมชน ได้แก่ ของป่า มันสำปะหลัง อ้อย ข้าว ลำไย มะขาม มะม่วง และพืชผักต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการรวมกลุ่มเป็นกลุ่มสัมมาชีพ ได้แก่ กลุ่มจักสาน กลุ่มเครื่องปั้นดินเผา กลุ่มทอผ้า กลุ่มแปรรูปผลผลิตการเกษตร กลุ่มไผ่หญ้า กลุ่มเลี้ยงโคเนื้อ กลุ่มเกษตรอินทรีย์ กลุ่มเลี้ยงไก่ และกลุ่มโรงสีชุมชน
ชุมชนบ้านโนนทันตั้งอยู่ในหมู่ที่ 1 ของตำบลโนนทัน ซึ่งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู อยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดหนองบัวลําภู อยู่ห่างจากตัวจังหวัด 11 กิโลเมตร มีอาณาเขตขององค์การบริหารส่วนตำบลโนนทันติดต่อกับตำบลต่าง ๆ ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ ตำบลน้ำพ่น อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลหมากหญ้า อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
- ทิศใต้ ติดต่อกับ ตำบลหนองอ้อ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลําภู
ข้อมูลประชากรจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง พ.ศ. 2568 พบว่า หมู่ที่ 1 บ้านโนนทัน มีประชากรในชุมชน จำนวน 1,009 คน แบ่งเป็นชาย 510 คน และหญิง 499 คน ภายในชุมชนมีจำนวนบ้านทั้งหมด 311 หลังคาเรือน (ข้อมูลเดือนมกราคม 2568)
ลาวเวียงด้านพิธีกรรม ประเพณี และความเชื่อ
การบายศรีสู่ขวัญ เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์หรือเรียกว่า "การสู่ขวัญ" หรือ "สวดขวัญ" เป็นพิธีกรรมสวดเพิ่มมงคลตามฮีตคองของวิถีคนอีสาน มีความเกี่ยวโยงกับภูมิปัญญาการเย็บใบตองบายศรีและการสวดขวัญภาษาถิ่น โดยทั่วไปใช้ประกอบพิธีมงคลเพื่อเชิญขวัญจิตวิญญาณ) ให้ความสุขปลอดภัย และมงคลแก่ผู้เข้าร่วมพิธี ปัจจุบันได้ปรับใช้กับพิธีกรรมอื่นๆ เช่น งานมงคลสมรส และ งานขึ้นบ้านใหม่ ร่วมกับการจัดเลี้ยงแบบสากล
การฟ้อนเชิญขวัญ เป็นการฟ้อนรำประกอบพิธีสวดขวัญ โดยแสดงหลังจากเสร็จพิธีสวดเชิญขวัญแล้วเชื่อว่าเป็นการนำส่งจิตวิญญาณที่เคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในป่า โดยใช้นางรำเป็นสตรีสาวที่คัดเลือกและ มีการฝึกฝนไว้จำนวนสี่คนขึ้นไป แต่งกายแบบพื้นบ้านอีสาน ใช้ท่ารำอ่อนช้อยนอบน้อมแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลังจากเสร็จพิธีฟ้อนรำแล้วจะผูกข้อมือต้อนรับขวัญคืนด้วยฝ้ายด้ายดิบสีขาว พร้อมกล่าวคำต้อนรับเรียกรับขวัญให้มาสถิตแก่ผู้เข้าร่วมพิธี ปัจจุบันจะแสดงฟ้อนเชิญขวัญประกอบพิธีบุญเบิกบ้านเท่านั้น
บุญเบิกฟ้า เป็นพิธีกรรมสำคัญที่จัดขึ้นในวันที่ 2 มกราคมของทุกปี แตกต่างจากชุมชนอื่น ๆ ที่จะทำใน บุญเดือนห้า (ช่วงเดือนเมษายน) มีที่มาจากเหตุการณ์โรคระบาด เมื่อ 60 ปีก่อน (ปี พ.ศ. 2500) มีคนล้มตายติดต่อกัน ชาวบ้านเชื่อว่าผีบรรพบุรุษตักเตือนลูกหลาน จึงจัดพิธีบวงสรวงและแก้เคล็ดจนกลายเป็นงานบุญเพณีในเวลาต่อมา โดยสมาชิกทุกคนรวมทั้งเครือญาติต้องเข้าร่วมพิธีกรรมทุกปี โดยจะนำข้าวปลาอาหารและบริจาคทรัพย์เป็นต้นผ้าป่าถวายวัด มีพิธีสวดมงคลบ้าน ในระหว่างพิธีจะมีการฟ้อนรำเบิกขวัญและการรำเบิกฟ้า ใช้นางรำเป็นสตรีคนเดียว ที่ได้รับคัดเลือกโดยไม่ใช้ซ้ำกันทุกปี แต่งกายแบบพื้นบ้านอีสาน ท่ารำอ่อนช้อยเพื่อแสดงความเคารพและการขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลังจากฟ้อนรำแล้วจะทำการผูกข้อมือของสมาชิกชุมชนโดยใช้ฝ้ายมงคลสีขาวทำจากด้ายดิบพร้อมกล่าวคำกล่าวอวยพรโดยหมอพราหมณ์และผู้อาวุโสของชุมชน
บุญประเพณีตามฮีต คอง (ฮีตสิบสอง คองสิบสี่) เป็นพิธีกรรมสำคัญของชุมชนที่คล้ายคลึงกับพิธีกรรมของชุมชนคนอีสานอื่น ๆ แต่จะแตกต่างกันในส่วนของกิจกรรม ที่ปัจจุบันยังคงสืบสานงานประเพณีฮีตสิบสองอย่างครบถ้วน แต่เน้นความสำคัญเฉพาะบางบุญประเพณี ด้วยว่ารากเหง้าชุมชนเป็นคนลาว (เวียงจันทน์) ที่ยังคงยึดปฏิบัติบุญประเพณีฮีตคองค่อนข้างเคร่งครัด ซึ่งเดิมวันสำคัญเหล่านี้จะกำหนดตามปฏิทินจันทรคติ แต่ปัจจุบันยึดตามปฏิทินราชการ คนในชุมชนนิยมไปวัดทำบุญโดยแต่ละบุญประเพณีจะมีสัญลักษณ์ พิธีกรรมแยกย่อยลงไปแตกต่างกัน
| เวลา | บุญประเพณี | กิจกรรม |
| เดือนอ้าย | พิธีเลี้ยงผีฟ้าผีแถน บุญเบิกบ้าน | สู่ขวัญบ้าน เลี้ยงผีบ้าน รำบวงสรวง |
| เดือนยี่ | จะมีพิธีทำบุญข้าวคูนลาน | ถวายเข้าเปลือก |
| เดือนสาม | บุญข้าวจี่ บุญมาฆบูชา | ถวายข้าวจี่ |
| เดือนสี่ | บุญผะเหวด หรือ บุญมหาชาติ | แห่ผ้าผะเหวด |
| เดือนห้า | วันเนาว์ วันปีใหม่ลาว | รดน้ำดำหัวผู้อาวุโส |
| เดือนหก | บุญวิสาขบูชา และบุญบั้งไฟ | แห่บั้งไฟ จุดบั้งไฟถวายแถน |
| เดือนเจ็ด | บุญเลี้ยงปู่ตา (เตรียมการทำไร่ทำนา) | พิธีเลี้ยงผีไร่ นา สวน |
| เดือนแปด | เข้าพรรษา บุญวันอาสาฬหบูชา | ถวายเทียนพรรษา |
| เดือนเก้า | บุญข้าวประดับดิน | พิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษ |
| เดือนสิบ | บุญข้าวสลาก | ถวายข้าวสาก (ข้าวเปือกคั่ว) |
| เดือนสิบเอ็ด | บุญออกพรรษา | ฟังธรรมะ |
| เดือนสิบสอง | บุญกฐิน | บุญกฐิน |
ทุนวัฒนธรรม
ด้านศิลปกรรม
- การแสดงกลองยาวและการผลิตเครื่องดนตรีพื้นบ้าน มีจุดเริ่มต้นในยุคที่ดำเนินชีวิตในป่าและใช้กลองเป็นเครื่องดนตรีสำหรับงานรื่นเริงในเทศกาลและประเพณีต่าง ๆ ขณะต่อสู้ทางการเมืองยุคคอมมิวนิสต์ จึงเกิดเป็นภูมิปัญญาการผลิตเครื่องดนตรีพื้นบ้าน ปัจจุบันได้จัดตั้งเป็นกลุ่มอนุรักษ์กลองยาวและเครื่องดนตรีพื้นบ้านขึ้น เพื่อรับจ้างแสดงดนตรีตามงานต่าง ๆ มีการผลิตเครื่องดนตรีพื้นบ้านหลายชนิด อาทิ พิณไม้ขนุน ซอกะลามะพร้าวและหนังงู และกลองหนังควาย โดยผลิตตามคำสั่งซื้อเฉพาะเท่านั้น
- การแสดงหมอลำพื้นบ้าน คนชุมชนโนนทันนับเป็นชุมชนที่มีทักษะ ความสามารถในการแสดงหมอลำที่น่าสนใจมาก เดิมเป็นการแสดงประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อและใช้แสดงหมอลำเพื่อปลุกระดมต่อสู้ทางการเมืองยุคคอมมิวนิสต์ทำให้เนื้อหาส่วนใหญ่จึงแตกต่างจากการแสดงหมอลำพื้นบ้านของพื้นที่อื่น ๆ ปัจจุบันใช้เป็นการแสดงเพื่อความรื่นเริงในงานเทศกาลหรือประเพณี เช่น ผ้าป่า กฐิน งานบวชนาค มีรูปแบบแสดงหมอลำพื้นบ้านหลายประเภท อาทิ (1) หมอลำพื้น คือ เป็นการแสดงลำคนเดียว มีเนื้อหาเกี่ยวกับนิทาน คติสอนใจ ตลอดจนเรื่องราวบ้านเมืองต่าง ๆ (2) หมอลำกลอน คือ เป็นการแสดงคู่ชายหญิงที่ลำเกี่ยวกับเรื่องราวของความรักโต้ตอบกัน (3) หมอลำหมู่ เป็นเป็นการแสดงกลุ่มของหมอลำที่ลำเป็นนิทานพื้นบ้าน (4) หมอลำเพลิน เป็นคณะหมอลำที่ลำเรื่องใช้ทำนองสนุกสนานผสมดนตรีสากล และ (5) หมอลำผีฟ้า คือ เป็นการแสดงลำรักษาคนเจ็บไข้ จัดเป็นการละเล่นเชิงพิธีกรรม
- การแสดงรำวงคองก้า เป็นการละเล่นที่นิยมมากในช่วงที่ดำเนินชีวิตในป่า โดยรับเอาการละเล่นจากกระแสนิยมช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี โดยประยุกต์จากการแสดงรำโทนของภาคกลาง แต่ปรับใช้กลองหนังควายตีจังหวะแทนกลองโทน การรำเน้นตามจังหวะเสียงกลองและเพลงประกอบ มีจุดเด่นคือ การยักไหล่และการทิ้งสะโพก ปัจจุบันการละเล่นรำวงคองก้าเป็นเพียงการแสดงเพื่อการอนุรักษ์และถ่ายทอดความรู้แก่คนรุ่นใหม่หรือสถานศึกษาเท่านั้น
ด้านเกษตรกรรม
- การทำสวนแบบวนเกษตร ด้วยชุมชนตั้งอยู่ในพื้นที่สูงสลับพื้นที่ลาดตื้นถึงลาดลึก ดังนั้นการปลูกไม้ผล จึงเป็นการปลูกผสมสมกับป่าธรรมชาติ และกลายเป็นรูปแบบเฉพาะสวนป่าแบบผสมผสาน เป็นรูปแบบองค์ความรู้ ทักษะ และเทคนิคด้านการเกษตรในการทำสวนผลไม้เพื่อใช้ประโยชน์จากไม้ป่าและสวนผลไม้ เน้นปลุกไม้ยืนต้นและผลไม้ท้องถิ่น ตลอดจนไผ่หลากหลายชนิดปะปนกันไปกับป่า ซึ่งก่อให้เกิดการเกื้อกูลกัน คือ ป่าให้ร่มเงาและความชุ่มชื้นช่วยสร้างธาตุอาหารในดิน กลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติ ลดต้นทุนได้ ถือเป็นองค์ความรู้ด้านการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างพืชกับพืช และคนกับป่า ก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากป่าที่มีความมั่นคงทางอาหารของชุมชน ผลผลิตที่ได้หลายชนิดจากสวนป่าและสวนผลไม้แบบผสมผสาน อาทิ พื้นจำพวกหัว ได้แก่ มันป่าชนิดต่าง ๆ พื้นจำพวกเหง้าได้แก่ ขิงป่า ข่าป่า พืชจำพวกไม้เลื้อย ผลไม้ป่า เป็นรูปแบบการสร้างอาหารและรายได้ยั่งยืนนำมาสู่การค้าขายในตลาดชุมชน
- การทำนาตามไหล่เขา การที่ชุมชนตั้งในภูมิประเทศพื้นที่ที่ราบสูงสลับพื้นที่ลาดตื้นถึงลาดลึก ทำให้มีข้อจำกัดของพื้นที่ปลูกข้าว การทำนาปลูกข้าวจึงปรับใช้ประโยชน์จากพื้นที่ราบระหว่างเขาให้กลายเป็นนาแบบลาดเอียง ปลูกข้าวเหนียวพันธุ์ท้องถิ่นต่าง ๆ อาทิ พันธุ์สันปาตอง พันธุ์ข้าวหากนาก พันธุ์มะขาม และข้าวเหนียวดำ สำหรับที่ค่อนข้างราบ ส่วนที่สูงชันจะใช้พันธุ์ข้าวไร่ โดยปลูกผสมกับพื้นอื่น ๆ ในฤดูฝน รูปแบบการทำนาจึงมีกรรมวิธี 3 วิธี คือ (1) การหว่านหรือการหว่านข้าวแห้ง เริ่มทำต้นฤดูฝน ประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม ได้ผลผลิต 300-350 กิโลกรัมต่อไร่ (2) การปักดำ เริ่มตกกล้าประมาณปลายเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม และเริ่มปักดำในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ส่วนใหญ่ทำในพื้นที่ราบตามไหล่เขาจะใช้พันธุ์ข้าวพันธุ์ดีหรือพื้นเมือง ได้ผลผลิต 400-500 กิโลกรัมต่อไร่ (3) การหยอดข้าว เริ่มทำต้นฤดูฝน ประมาณเดือนมิถุนายนทำในพื้นที่สูงลาดชันจะใช้พันธุ์ข้าวไร่ โดยปลูกผสมกับพื้นอื่น ๆ การทำสวนเกษตรอินทรีย์ปลอดสารพิษ เป็นการปลูกผักพืชเมืองหนาวและผักสวนครัว โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์และปุ๋ยอินทรีย์ที่ผสมเอง โดยจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางของชุมชนที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพัน ปีหลวงในครั้งที่ทรง เสด็จเยี่ยมชุมชนในสมัย พ.ศ. 2525 เน้นปลูกพืชผักสวนครัวแบบผสมผสาน ผักที่นิยมปลูกได้แก่ ผักพืชเมืองหนาว ผักกาดหอม ผักกาดแก้ว ผักกวางตุ้ง มะเขือเทศ ดอกแค กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว ผักอีตู่เป็นต้น
- การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรไว้บริโภคและจำหน่าย ปัจจุบันจัดตั้งเป็นกลุ่มสัมมาชีพเพื่อผลิตเป็นรายได้เสริม โดยเน้นนำผลิตผลทางการเกษตรที่มากเกินหรือล้นตลาดมาแปรรูปมีหลากหลายชนิด อาทิ กล้วยตาก กล้วยฉาบ ชาใบหม่อน น้ำมัลเบอร์รี่ มะขามแช่อิ่ม มะม่วงดอง เป็นต้น
ด้านโภชนาการและอาหารท้องถิ่น
- อาหารจากหน่อไม้ เป็นอาหารพื้นบ้านของชุมชนที่ทุกบ้านเรือนจะทำ โดยมีเมนูสำคัญคือ แกงหน่อไม้ที่มีส่วนผสมพิเศษที่หาได้จากป่า อาทิ "อีลอก" หรือ "บอนหวาน" หรือ "หวายป่า" นิยมทานตลอดปีด้วยการแปรรูปถนอมไว้ในรูปหน่อไม้ปี๊บ หน่อไม้ขวด หน่อไม้ดอง หน่อไม้ส้ม ซึ่งเก็บไว้ได้หลายเดือนและขายในฤดูแล้งเป็นรายได้เสริม
- อาหารจากเห็ด ด้วยพื้นที่ชุมชนอยู่กลางป่าและภูเขา ใกล้เขตอุทยาน ในฤดูฝนจะมีเห็ดหลายชนิดให้เก็บเป็นอาหารและสร้างรายได้ อาทิ เห็ดแดง เห็ดก่อ เห็ดขาว เห็ดไค เห็ดเผาะ เห็นระโงก เห็ดโคน เป็นต้น ซึ่งบางชนิดมีราคาแพงมาก ปัจจุบันสามารถแปรรูปถนอมไว้เพื่อกินหรือขายสร้างรายได้ในฤดูแล้งได้
- อาหารจากอึ่งอ่าง โดยในต้นฤดูฝน จะมีอึ่งอ่างจำนวนมากในป่า ชาวบ้านนิยมไปเจ็บมาทำอาหาร หรือนำมาขายสดให้คนเดินทางผ่านไป-มา ส่วนที่เหลือก็แปรรูปหรือถนอมไว้กินในฤดูอื่น ๆ อาทิ อึ่งย่าง อึ่งรมไฟหม่ำอึ่ง (ไส้กรอกอึ่ง) ปลาแดกอึ่ง (ปลาร้าอึ่งอ่าง) และแบ่งขายเป็นรายได้เสริมในตลาดชุมชน
- การบองปลาร้า เป็นการแปรรูปอาหารที่มีรากเหง้าวัฒนธรรมการกินของชาวอีสาน โดยการนำปลาที่จับได้มาหมักในไหใส่เกลือลงไปและรำหรือข้าวคั่ว เรียกว่า ปลาร้าหรือปลาแดก เวลาปรุงอาหารจะใช้ปลาร้าเป็น วัตถุดิบหลัก โดยนำมาสับให้ละเอียดและใส่ตะไคร้ ข่า พริก ใบมะกรูด และมะนาว รับประทานกับ "ถั่วแฮ"หรือ "มะเดื่อ" เรียกเมี่ยงปลาแดกบอง (เมี่ยงปลาร้าบอง)
- ข้าวโป่ง เป็นขนมในประเพณีบุญเดือนสี่ ทำจากข้าวเหนียวนำมานึ่งแล้วตำในครกกระเดื่อง โดยจะตำผสมรากสมุนไพร (ตดหมูตดหมา) เพื่อทำให้เกิดกลิ่นเฉพาะ นำไปปิ้งจนสุก ปัจจุบันมีกลุ่มผลิตเป็นสิน ค้าของฝากของชุมชน
- ข้าวแดกงา เป็นขนมโบราณสำหรับพิธีเลี้ยงผีในเดือนอ้าย เดือนเจ็ด และเดือนเก้า ทำจากข้าวเหนียวนึ่งโดยใช้พันธุ์ข้าวไท้องถิ่นผสมน้ำอ้อย (น้ำตาลอ้อย) งา ถั่ว กะทิ โดยนำข้าวไปนึ่งให้สุกแล้วนำไปส่วนผสมอื่น ๆ ไปตำคลุกจนเหนียวติดไม้พาย มีลักษณะยืด เป็นขนมที่ทำเมื่อมีงานบุญประเพณีเท่านั้น
ด้านหัตถกรรม
- การทอผ้า ถือเป็นมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นที่โดดเด่นที่สุดของชุมชน ปัจจุบันมีการจัดตั้งกลุ่มทอผ้า พื้นเมือง มีจุดริเริ่มการโครงการพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขณะที่ทรงเสด็จนมัสการหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่วัดถ้ำกลองเพล และทรงออกเยี่ยมราษฎรจึงมีพระราชดำริส่งเสริมอาชีพให้แก่ชุมชนโดยการฟื้นฟูการทอผ้าพื้นเมืองขึ้น การจัดตั้งศูนย์ศิลปาชีพพิเศษในโครงการพระราชูประถัมภ์ให้แก่ชุมชนโนนทัน ในปี พ.ศ. 2525 มอบที่ดิน และครูช่างจากศูนย์ศิลปาชีพไปสอนเพื่อยกระดับคุณภาพการผลิต
- การทำจักสานไม้ไผ่ เนื่องจากในบริเวณตั้งชุมชนมีไม้ไผ่หลากหลายชนิด จึงมีการนำมาใช้ประโยชน์ในการทำข้าวของเครื่องใช้ เป็นภาชนะต่าง ๆ อาทิ กระติบ เสื่อ สุ่มไก่ ข้องจับปลา ตลอดจนของใช้อื่น ๆ ปัจจุบัน มีการจัดวางจำหน่ายในชุมชนและมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาสั่งซื้อเครื่องจักสานอย่างต่อเนื่อง
ด้านแพทย์พื้นบ้าน
- ภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน ด้วยว่าชุมชนตั้งในภูมิประเทศกลางภูเขา สมัยก่อนเดินทางไปรักษายากลำบาก จึงนิยมใช้วิธีการรักษาความเจ็บป่วยหลายแบบรวมกัน ทั้งการใช้สมุนไพร การเป่า การนวด การอาบ ร่วมกับพิธีกรรมเพื่อรักษาทางจิตใจควบคู่กับการรักษาทางกาย ซึ่งรูปแบบการรักษามีหลายวิธี อาทิ การต้มดื่ม ต้มอาบ พอก นวด ประคบ เป่า โดยทั้งหมดมักจะใช้สมุนไพรจากป่าเป็นหลัก จึงเป็นแหล่งความรู้ของหมอพื้นบ้านหลายประเภท ส่วนภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสมุนไพรถือว่าโดดเด่นมาก ปัจจุบันมีการนำสมุนไพรมาปรุงเป็นตำรับและวางจำหน่ายในตลาดชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม
ประชาชนในชุมชนบ้านโนนทันส่วนใหญ่ใช้ ภาษาอีสาน หรือภาษาลาวสำเนียงท้องถิ่นหนองบัวลำภูเป็นหลัก โดยใช้ในการพูดคุยในครัวเรือน สื่อสารระหว่างเพื่อนบ้าน และในการประกอบพิธีกรรมทางวัฒนธรรม เช่น งานบุญ งานประเพณี และการแสดงหมอลำ อย่างไรก็ตาม คนในชุมชนสามารถสื่อสารด้วย ภาษาไทยกลาง ได้อย่างคล่องแคล่ว โดยเฉพาะในการติดต่อกับหน่วยงานราชการ การศึกษา และสื่อสารกับบุคคลภายนอก
ชัยณรงค์ ศรีรักษ์. (2565). การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนฐานมรดกภูมิปัญญาชุมชนบ้านโนนทัน จังหวัดหนองบัวลำภู: DEVELOPMENT OF CREATIVE TOURISM BASED ON COMMUNITY WISDOM HERITAGE OF BAN NONTHAN, NONGBUA LAMPU. วารสารวิชาการการท่องเที่ยวไทยนานาชาติ, 18(1), 86-111, สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2568, จาก https://so02.tci-thaijo.org
องค์การบริหารส่วนตำบลโนนทัน. (ม.ป.ป). ข้อมูลทั่วไปองค์การบริหารสำตำบลโนนทัน. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2568, จาก https://nonthan.go.th/fileupload/993054.pdf
กรมการปกครอง. (2567). ระบบสถิติทางการทะเบียน กรมการปกครอง. สืบค้นเมื่อ 30 กรกรฏาคม 2568, จาก https://stat.bora.dopa.go.th