อู่ข้าวชุมชน สถาบันฝึกอาชีพ
ชาวบ้านกล่าวว่าในสมัยก่อนมีช้างเผือกเดินทางมาถึงบริเวณนี้ โดยมีกลุ่มชาวบ้านที่สะกดรอยตามเท้าช้างเผือกได้มาถึงบริเวณพื้นที่แห่งนี้ เกิดหลงทางไม่สามารถออกจากหมู่บ้านแห่งนี้จึงพูดออกมาว่า "บาลอ บลอ ละสือสะเดาะเดาะห์เว" แปลว่า โชคร้ายแล้วหลงทาง จากคำกล่าวนี้จึงเป็นที่มาของคำว่า "บาบอ" และได้นำมาตั้งเป็นชื่อหมู่บ้านและตำบลจนถึงปัจจุบัน
อู่ข้าวชุมชน สถาบันฝึกอาชีพ
ประวัติชุมชนบาลอ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ "หมู่บ้านตาเนาะลูวง" เล่ากันว่าได้จัดตั้งตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องถิ่น พ.ศ. 2437 เมื่อ พ.ศ. 2399 บ้านตาเนาะลูวง หมายถึง ที่ดินของหลวงที่สาธารณะและเล่ากันว่าได้เปลี่ยนชื่อหมู่บ้านจากบ้านตาเนาะลูวง มาเป็นบ้านบาลอ
บางรายงานของชาวบ้านกล่าวว่าในสมัยก่อนมีช้างเผือกเดินทางมาถึงบริเวณนี้ โดยมีกลุ่มชาวบ้านที่สะกดรอยตามเท้าช้างเผือกได้มาถึงบริเวณพื้นที่แห่งนี้ เกิดหลงทางไม่สามารถออกจากหมู่บ้านแห่งนี้จึงพูดออกมาว่า บาลอ บลอ ละสือสะเดาะเดาะห์เว แปลว่า โชคร้ายแล้วหลงทาง จากคำนี้จึงเป็นที่มาของคำว่า บาบอ จึงได้นำมาตั้งเป็นชื่อหมู่บ้านและตำบลจนถึงปัจจุบัน
บ้านบาลอ อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอรามัน ประมาณ 6 กิโลเมตร อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 26 กิโลเมตร การเดินทางมายังชุมชนสามารถเดินทางได้ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคลและรถโดยสารประจำทาง
อาณาเขตติดต่อ
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านปูลัย หมู่ที่ 6 ตำบลบาลอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
- ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านบือแนนากอ หมู่ที่ 3 ตำบลบาลอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
- ทิศตะวันอออก ติดต่อกับ บ้านปาโอ๊ะ หมู่ที่ 2 ตำบลบาลอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลเรียน อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส
สภาพพื้นที่กายภาพ
สภาพทั่วไปของบ้านบาลอเป็นพื้นที่ราบลุ่มและพื้นที่ภูเขา พื้นที่ส่วนใหญ่ทำการปลูกยางพารา ไม้ผล และทำนา ลักษณะบ้านบาลอสามารถแบ่งออกเป็นสองฝั่งโดยสถานีรถไฟเป็นเส้นตัดกัน บริเวณหน้าถนนรถไฟจะเป็นที่อาศัยของชาวบ้าน เมื่อข้ามไปถนนรถไฟไปอีกฝั่งจะมีบ้านเรือนชาวบ้านบางส่วนและอีกส่วนจะเป็นพื้นที่ทำนาซึ่งเป็นแหล่งทำมาหากินของชาวบ้านในพื้นที่ พื้นที่รอบนอกมีการเพาะปลูกต้นยางพารา
จากข้อมูลการสำรวจของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ปี 2565 ระบุจำนวนครัวเรือน และประชากรชุมชนบ้านบาลอ จำนวน 181 หลังคาเรือน ประชากรรวมทั้งหมด 906 คน แบ่งประชากรชาย 454 คน หญิง 452 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายมลายู คนในชุมชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ร่วมกันแบบครอบครัวที่มีความหลากหลายช่วงวัย มีเพียงส่วนน้อยที่อาศัยเป็นครอบครัวเดี่ยว จากรากฐานความสัมพันธ์เชิงเครือญาติทำให้ผู้คนในสังคมมีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ระหว่างกัน
มลายูผู้คนในชุนชนบาลอมีการรวมกลุ่มที่เป็นทางการ
กลุ่มสตรี เป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน ลักษณะกิจกรรมของกลุ่มสตรีมีการทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น อ่านอัลกุรอานที่มัสยิด ทำขนมพื้นบ้านเพื่อขายที่ร้านค้าในชุมชน
ด้านกลุ่มอาชีพ พื้นที่แห่งนี้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร ปลูกต้นยาง ทุเรียน ลองกอง และมีการทำนาทุกปี อาชีพรองลงมา ได้แก่ รับราชการ ค้าขาย
ในรอบปีของผู้คนบ้านบาลอ มีวิถีชีวิตทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจที่มีอัตลักษณ์โดดเด่นดังต่อไปนี้
วิถีชีวิตทางวัฒนธรรม
- งานเมาลิดนบี เป็นวันแห่งการยกย่องวันเกิดของท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) คำว่า "เมาลิด" เป็นภาษาอาหรับแปลว่า เกิด, ที่เกิด หรือวันเกิด ซึ่งหมายถึงวันเกิดของท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) ตรงกับวันที่ 12 เดือนรอบือุลเอาวัล หรือเดือนที่ 3 ตามปฏิทินอิสลาม ชุมชนบ้านบาลอจะจัดงานเมาลิดตามบ้านแต่ละหลังโดยผลัดเวียนตามเวรที่ได้รับมอบหมายจากผู้นำในพื้นที่ กิจกรรมในงานเมาลิดได้แก่ การอัญเชิญคัมภีร์อัล-กุรอาน การกล่าวสรรเสริญ อ่านซางี เพื่อระลึกถึงท่านนบีมูฮัหมัด (ซ.ล.) นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงอาหารแก่ผู้ที่ไปร่วมงานด้วย
- วันรายอแนหรือรายอหก ความหมายรายอแน คือ คำว่า "รายอ" ในภาษามลายูแปลว่า ความรื่นเริง และ คำว่า "แน" คือ หก ในทางปฏิบัติเมื่อถึงวันตรุษอีฎี้ลฟิตรี จะเฉลิมฉลองวันอีดใหญ่และวันต่อมาชาวบ้านมักจะถือศีลอด 6 วัน ในเดือนเชาวาลต่อเนื่องจนครบ 6 วัน เมื่อเสร็จสิ้นการถือศีลอด คนในพื้นที่จะถือโอกาสนี้เฉลิมฉลองวันรายอแน โดยจะเดินทางไปทำบุญให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับที่กุโบร์หรือสุสาน
- กิจกรรมฟื้นฟูค่ำคืนนิสฟูซะห์บาน ค่ำคืนนิสฟูซะห์บานจะตรงตามปฎิทินอิสลาม วันที่ 14 เดือน ซะบาน โดยมีลักษณะกิจกรรม คือ มีการละหมาดฟัรดู อ่านอัลกุรอาน ซูเราะห์ยาซีน 3 จบ ซึ่งแต่ละจบจะมีดุอาร์ ขอพรจากอัลลอฮ์ เมื่อเสร็จพิธีการ มีการกินเลี้ยงร่วมรับประทานอาหาร และอาหารบางส่วนจะนำแจกจ่ายให้ชาวบ้านในหมู่บ้าน
- วันตรุษอิดิลฟิตรี หรือที่นิยมเรียกว่า “วันรายอปอซอ” เพราะหลังจากที่มุสลิมได้ถือศีลอดมาตลอดในเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนที่ 9 ของศาสนาอิสลาม ก็จะถึงวันออกบวช ตอนเช้าจะมีการละหมาดร่วมกัน ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สะอาด สวยงาม และมีการจ่าย “ซะกาตฟิตเราะฮ์”
- วันตรุษอิดิลอัฏฮา หรือวันรายอฮัจยี เนื่องจากมุสลิมทั่วโลกเริ่มประกอบพีธีฮัจญ์ ณ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย จะมีการทำกุรบานหรือการเชือดสัตว์เพื่อเป็นอาหารแก่เพื่อนบ้านและคนยากจน เพื่อขัดเกลาจิตใจให้เป็นผู้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ ตรงกับเดือน ซุลฮิจยะห์ ซึ่งเป็นเดือนที่ 12 ในปฏิทินของศาสนาอิสลาม
- การถือศีลอด เป็นหลักปฎิบัติที่มุสลิมจำเป็นต้องถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ตลอดระยะเวลา 1 เดือน มุสลิมที่มีอายุเข้าเกณฑ์ศาสนบัญญัติจะต้องงด การกิน ดื่ม การร่วมประเวณีตลอดจนทุกอย่างที่เป็นสิ่งต้องห้าม ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนกระทั่งตกดิน ทุกคนต้องสำรวมกาย วาจา ใจ เพราะเดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่มีประเสริฐยิ่งของศาสนาอิสลาม ซึ่งในเดือนนี้ชาวมุสลิมจะไปละหมาดที่มัสยิด ซึ่งเป็นการละหมาดที่ปฏิบัติภายในเดือนรอมฎอนเท่านั้น เรียกว่า “ละหมาดตะรอเวียะห์”
- การละหมาด เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ ซึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวมุสลิม ทุกคนต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยถือว่าเป็นการเข้าเฝ้าผู้ทรงสร้างที่ยิ่งใหญ่ การแต่งกายต้องสะอาด เรียบร้อย มีความสำรวม พระองค์กำหนดเวลาละหมาดไว้วันละ 5 เวลา
- การทำฮัจญ์ อัลลอฮ์ทรงบังคับ ให้มุสลิมที่มีความสามารถด้านกำลังกาย กำลังทรัพย์ ต้องไปทำฮัจญ์ ณ นครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีขึ้นปีละครั้ง ชาวมุสลิมทั่วโลกจะเดินทางมารวมกัน เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร มีฐานะทางสังคมอย่างไร ต้องมาอยู่ที่เดียวกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ทุกคนมีฐานะเป็นบ่าวของอัลลอฮ์อย่างเท่าเทียมกัน ตรงกับเดือน ซุลฮิจยะห์ ซึ่งเป็นเดือนที่ 12 ในปฏิทินของศาสนาอิสลาม
- การเข้าสุนัต เป็นพิธีกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาวมุสลิม ถือกันว่ามุสลิมที่แท้จริงควรเข้าสุนัต ถ้าไม่ทำถือว่าเป็นมุสลิมที่ไม่สมบูรณ์ ไม่บริสุทธิ์ การเข้าสุนัต คือการขลิบหนังหุ้มอวัยวะเพศของผู้ชายออก เพื่อสะดวกในการรักษาความสะอาด การเข้าสุนัตจะนิยมขลิบในช่วงเดือนเมษายนเนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคการเรียนการสอนของเด็กในพื้นที่ กิจกรรมจะมีการขลิบหนังหุ้มอวัยวะเพศ และมีการเตรียมอาหารเป็นข้าวเหนียวสีต่าง ๆ บางพื้นที่จะมีการขลิบเป็นหมู่คณะ โดยมีเด็กในชุมชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
- ประเพณีการกวนอาซูรอ เป็นการรำลึกถึงความยากลำบากของศาสดา นบีนูฮ โดยเชื่อว่าในสมัยของท่านมีเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ น้ำท่วมโลกเป็นระยะเวลานาน ศาสดานบีนูฮ ซึ่งล่องลอยเรืออยู่เป็นเวลานาน ทำให้อาหารที่เตรียมไว้ร่อยหรอลง จึงได้นำส่วนที่พอจะมีเหลือเอามารวมกันแล้วกวนกิน กลายเป็นตำนานที่มาของขนมอาซูรอ
คำว่า "อาซูรอ" คือคำในภาษาอาหรับ แปลว่า การผสม ในที่นี้หมายถึงการนำของที่รับประทานได้ทั้งของคาวและของหวานจำนวน 10 อย่าง มากวนรวมกัน ประเพณีจะจัดในวันที่ 10 ของเดือนมูฮัรรอม ซึ่งเป็นเดือนแรกของฮิจเราะห์ศักราชตามปฏิทินอิสลาม เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาปีใหม่ของมุสลิม ลักษณะกิจกรรมจะมีการรวมตัวของชาวบ้านโดยที่ชาวบ้านจะนำวัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเผือก มัน ฟักทอง กล้วย ข้าวสาร ถั่ว เครื่องปรุง ข่าตะไคร้ หอมกระเทียม เมล็ดผักชี ยี่หร่า เกลือ น้ำตาล กะทิ โดยวัตถุดิบทั้งหมดจะถูกกวนในกระทะเหล็กใช้เวลาเกือบ 6-7 ชั่วโมง โดยต้องกวนตลอด จนกระทั่งสุกแห้ง เมื่อเสร็จเรียบร้อยมีการแจกจ่ายแบ่งปันให้แก่ชาวบ้าน ภาพที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความสัมพันธ์และสามัคคีของคนในชุมชน
- ประเพณีการกินนาซิบารู คำว่า "นาซิบารู" หมายถึง ข้าวสารใหม่ที่ได้ผ่านกรรมวิธีจากการลงแขกเก็บเกี่ยวข้าวในช่วงฤดูทำนา เมื่อเสร็จการทำนา ข้าวเปลือกที่ได้จะนำไปโรงสีข้าวเพื่อเปลี่ยนมาเป็นข้าวสาร หลังจากนั้นชาวบ้านจะเชิญผู้รู้ทางศาสนาและคนในชุมชนมาร่วมรับประทานอาหารที่บ้านเพื่อเป็นการขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ได้ทำนาสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี
วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ การประกอบอาชีพของประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก เช่น ปลูกยางพารา ทุเรียน ลองกอง และข้าราชการ
1.นางหาแว ตอแลมา เป็นปราชญ์ที่ชาวบ้านในชุมชนให้การนับถือ เมื่อมีปัญหาระหว่างคนในชุมชน ท่านจะเป็นตัวกลางในการพูดคุยและแก้ปัญหา ด้วยเหตุนี้ท่านได้รับการยอมรับและเคารพนับถือของคนในชุมชน
อาหาร ชาวมุสลิมมลายูในพื้นที่แห่งนี้นิยมรับประทานอาหารประเภทแกง โดยมีรสชาติหวานนำ ตามด้วยรสเค็ม ส่วนผักที่นิยมมาทำแกง คือ ปูโจ๊ะกาเซ็ง หรือ ผักแพว และจะนิยมใส่กะทิเป็นส่วนผสมในการปรุงอาหาร แกงที่นิยมทำ เช่น แกงเหลืองปลาผักแพว
ภาษามลายู หรือภาษามาเลย์ เป็นภาษาหนึ่งในตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน ซึ่งใช้ในดินแดนประเทศ มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน และภาคใต้ของประเทศไทย
ประเทศไทยมีจังหวัดที่มีประชากรพูดภาษามลายู คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาสและบางอำเภอของจังหวัดสงขลา ประชากรที่นี่ส่วนใหญ่เขียนและบันทึกโดยใช้อักษรยาวี ปัจจุบันคนในชุมชนยังคงรักษาไว้ซึ่งภาษาท้องถิ่นของพื้นที่อย่างเหนียวแน่น
การเปลี่ยนแปลงของสังคมไปสู่ความทันสมัย ปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือการสร้างบ้านเรือนที่มีความทันสมัยมากขึ้นประกอบกับอิทธิพลทางการศึกษาสมัยใหม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากขึ้น
ความท้าทายของชุมชนบ้านบาลอเผชิญปัญหากับความท้าทายเกี่ยวกับปัญหายาเสพติด เนื่องจากพื้นที่ชุมชนเริ่มมีคนนอกพื้นที่มาอาศัยอยู่มากขึ้นมีผลให้การระบาดเพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามผู้นำชุมชนเริ่มให้ความสำคัญในการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังทำให้การระบาดลดลงอย่างต่อเนื่อง
ในชุมชนมีจุดน่าสนใจอื่น ๆ ได้แก่ วิทยาลัยการอาชีพรามัน
ซูไรดา เจะนิ. (2559). การศึกษาภูมินามของหมู่บ้านในอำเภอรามัน จังหวัดยะลา. ทุนอุดหนุนจากงบประมาณการศึกษาประจำปี 2559. มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา
กรมการปกครอง. (2565). ระบบสถิติทางการทะเบียน จำนวนประชากร. ออนไลน์. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566. เข้าถึงได้จาก https://stat.bora.dopa.go.th/