ชุมชมดั้งเดิม ลุ่มแม่น้ำสายบุรี
ประวัติความเป็นมาของบ้านเกะรอมี 2 ความเห็น
1. กล่าวกันว่าเจ้าเมืองโกตาบารูเสด็จประพาสป่าล่าสัตว์โดยได้ล่องเรือตามแม่น้ำสายบุรี เมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้ได้ทรงหยุดพักและสนทนากับชาวบ้านในพื้นที่ ทำให้ทรงทราบว่าพื้นที่แห่งนี้มีฝูงลิงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งลิงในภาษามลายูเรียกว่า "กือรอ" พระองค์จึงได้ทรงเรียกสถานที่นี้ว่า "กาปงกือรอ"
2. เล่ากันว่า ชุมชนเกะรอ เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างสองรัฐที่ปกครองในสมัยนั้นได้แก่ กษัตริย์สือลินดงบายูซึ่งอยู่ที่เมืองสายบุรีและกษัติรย์รือมัง ซึ่งอยู่ที่โกตาบารู เมื่อมีเหตุพิพาทระหว่างสองรัฐนี้จะถูกนำเสนอไปที่บริเวณพื้นที่แห่งหนึ่โดยเรียกสถานที่แห่งนี้ในภาษามลายูว่า "คีรอ" แปลว่า การเจรจา พิพากษา
ชุมชมดั้งเดิม ลุ่มแม่น้ำสายบุรี
บ้านเกะรอเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้แม่น้ำสายบุรี โดยมีเรื่องเล่าจากคนในพื้นที่ว่า ในสมัยก่อนพื้นที่แห่งนี้อยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าเมืองโกตาบารูหรือรายอรือมังซึ่งเป็นเมืองที่ความเจริญรุ่งเรืองมาก ครั้งหนึ่งเจ้าเมืองโกตาบารูเสด็จประพาสป่าล่าสัตว์ โดยได้ล่องเรือตามแม่น้ำสายบุรี เมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้ได้ทรงหยุดพักและสนทนากับชาวบ้านในพื้นที่ ทำให้ทรงทราบว่าพื้นที่แห่งนี้มีฝูงลิงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งลิงในภาษามลายูเรียกว่า "กือรอ" พระองค์จึงได้ทรงเรียกสถานที่นี้ว่า "กาปงกือรอ" ตามชื่อเรียกฝูงลิง ต่อมามีการเรียกบ้านกือรอเพี้ยนเป็น "บ้านเกะรอ"
จากคำบอกเล่าของคนในชุมชนบางส่วนได้เล่าว่า ชุมชนเกะรอ เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างสองรัฐที่ปกครองในสมัยนั้น ได้แก่ กษัตริย์สือลินดงบายูซึ่งอยู่ที่เมืองสายบุรีและกษัติรย์รือมัง ซึ่งอยู่ที่โกตาบารู เมื่อมีเหตุพิพาทระหว่างสองรัฐนี้จะถูกนำเสนอไปที่บริเวณพื้นที่แห่งนี้ โดยเรียกสถานที่แห่งนี้ในภาษามลายูว่า คีรอ แปลว่า การเจรจา พิพากษา โดยจะมีศาลปกครองประจำอยู่ที่ท่าน้ำสายบุรี ในภาษาท้องถิ่นเรียกว่า "บาลัยอาฆง" หมายถึง ศาลปกครอง และมีการแต่งตั้งผู้พิพากษาเรียกว่า "โตะบือซา" ในภาษาไทยถูกบันทึกไว้ว่าโต๊ะโดสา ซึ่งเป็นลูกหลานที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ทำหน้าที่ตัดสินคดีความระหว่างสองรัฐนี้ จากคำว่า "คีรอ" ถูกเปลี่ยนมาเป็น "เกะรอ" จนถึงปัจจุบัน
บ้านเกะรออยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอรามัน ประมาณ 25 กิโลเมตร อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 43 กิโลเมตร การเดินทางมายังชุมชนบ้านเกะรอสามารถเดินทางได้ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคล
อาณาเขตติดต่อ
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านพะปูเงาะ หมู่ที่ 4 ตำบลเกะรอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
- ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านตาเน๊าะปูโย๊ะ หมู่ที่ 3 ตำบลเกะรอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านปาแตรายอ หมู่ที่ 2 ตำบลเกะรอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านฮูแตบาโง หมู่ที่ 2 ตำบลเกะรอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
สภาพพื้นที่กายภาพ
สภาพทั่วไปของบ้านเกะรอ มีลักษณะเป็นเนินสูง ๆ ต่ำ ๆ ลักษณะเป็นลูกคลื่น ระหว่างเนินจะเป็นที่ราบลุ่มที่มีน้ำขัง เกษตรกรใช้ในการปลูกข้าว ที่ราบเนินสูงใช้ปลูกบ้านเรือนและทำการเกษตร เช่น ยางพารา ปลูกพืชผลชนิดต่างๆ ตอนกลางมีลักษณะเป็นลูกคลื่น และมีที่ราบลาดยาวซึ่งมีแม่น้ำสายบุรีไหลผ่านทำให้เกิดน้ำท่วมบริเวณที่ราบริมแม่น้ำ
จากข้อมูลการสำรวจของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ปี 2565 ระบุจำนวนครัวเรือน และประชากรชุมชนบ้านเกะรอ จำนวน 219 หลังคาเรือน ประชากรรวมทั้งหมด 1,330 คน แบ่งเป็นประชากรชาย 508 คน หญิง 505 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายมลายู คนในชุมชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่รวมกันแบบครอบครัวที่มีความหลากหลายช่วงวัย มีเพียงส่วนน้อยที่อาศัยเป็นครอบครัวเดี่ยว จากรากฐานความสัมพันธ์เชิงเครือญาติทำให้ผู้คนในสังคมมีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ระหว่างกัน
มลายูผู้คนในชุนชนบ้านเกะรอ มีการรวมกลุ่มที่เป็นทางการ
กลุ่มสตรี เป็นกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือสตรีในพื้นที่ให้มีรายได้ช่วงเวลาว่างจากการเลี้ยงลูก โดยมีสถานที่อบรมอาชีพทำขนมพื้นบ้าน วางจำหน่ายตามร้านค้าในพื้นที่หรือคนจากนอกพื้นที่มารับไปขายต่อในพื้นที่อื่น
ด้านกลุ่มอาชีพ พื้นที่แห่งนี้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร ปลูกต้นยาง ทุเรียน ลองกอง รองลงมาประกอบอาชีพรับราชการและค้าขาย
ในรอบปีของผู้คนบ้านเกะรอ มีวิถีชีวิตทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจที่มีอัตลักษณ์โดดเด่นดังต่อไปนี้
วิถีชีวิตทางวัฒนธรรม
- วันรายอแนหรือรายอหก ความหมายรายอแน คือ คำว่า "รายอ" ในภาษามลายูแปลว่า ความรื่นเริง และ คำว่า "แน" คือ หก ในทางปฏิบัติเมื่อถึงวันตรุษอีฎี้ลฟิตรี จะเฉลิมฉลองวันอีดใหญ่และวันต่อมาชาวบ้านมักจะถือศีลอด 6 วัน ในเดือนเชาวาลต่อเนื่องจนครบ 6 วัน เมื่อเสร็จสิ้นการถือศีลอด คนในพื้นที่จะถือโอกาสนี้เฉลิมฉลองวันรายอแน โดยจะเดินทางไปทำบุญให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับที่กุโบร์หรือสุสาน ชุมชนบ้านเกะรอจะจัดงานวันรายอหกที่สุสานเกะรอโดยทั่วไปแล้วจะจัดเป็นประจำทุกปี บรรยากาศงานช่วงเช้าจะมีชาวบ้านไปเยี่ยมเยียนสุสาน ต่อด้วยการเลี้ยงข้าวให้ผู้ที่มาเยี่ยมเยียนโดยจะจัดที่บาลาเสาะหรือลานละหมาดที่อยู่ใกล้สุสาน
- กิจกรรมฟื้นฟูค่ำคืนนิสฟูซะห์บาน ค่ำคืนนิสฟูซะห์บานจะตรงตามปฎิทินอิสลาม วันที่ 14 เดือน ซะบาน โดยมีลักษณะกิจกรรม คือ มีการละหมาดฟัรดู อ่านอัลกุรอาน ซูเราะห์ยาซีน 3 จบ ซึ่งแต่ละจบจะมีดุอาร์ ขอพรจากอัลลอฮ์ เมื่อเสร็จพิธีการ มีการกินเลี้ยงร่วมรับประทานอาหาร และอาหารบางส่วนจะนำแจกจ่ายให้ชาวบ้านในหมู่บ้าน
- ประเพณีการกวนอาซูรอ เป็นการรำลึกถึงความยากลำบากของศาสดา นบีนูฮ โดยเชื่อว่าในสมัยของท่านมีเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ น้ำท่วมโลกเป็นระยะเวลานาน ศาสดานบีนูฮ ซึ่งล่องลอยเรืออยู่เป็นเวลานาน ทำให้อาหารที่เตรียมไว้น้อยลง จึงได้นำส่วนที่พอจะมีเหลือเอามารวมกันแล้วกวนกิน จึงกลายเป็นตำนานที่มาของขนมอาซูรอ
คำว่า "อาซูรอ" คือคำในภาษาอาหรับ แปลว่า การผสม ในที่นี้หมายถึงการนำของที่รับประทานได้ทั้งของคาวและของหวานจำนวน 10 อย่าง มากวนรวมกัน ประเพณีจะจัดในวันที่ 10 ของเดือนมูฮัรรอม ซึ่งเป็นเดือนแรกของฮิจเราะห์ศักราชตามปฏิทินอิสลาม เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาปีใหม่ของมุสลิม ลักษณะกิจกรรมจะมีการรวมตัวของชาวบ้านโดยที่ชาวบ้านจะนำวัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเผือก มัน ฟักทอง กล้วย ข้าวสาร ถั่ว เครื่องปรุง ข่าตะไคร้ หอมกระเทียม เมล็ดผักชี ยี่หร่า เกลือ น้ำตาล กะทิ โดยวัตถุดิบทั้งหมดจะถูกกวนในกระทะเหล็กใช้เวลาเกือบ 6-7 ชั่วโมง โดยต้องกวนตลอด จนกระทั่งสุกแห้ง เมื่อเสร็จเรียบร้อยมีการแจกจ่ายแบ่งปันให้แก่ชาวบ้าน ภาพที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความสัมพันธ์และสามัคคีของคนในชุมชน
- ประเพณีงานกวนอาซูรอ จัดอย่างยิ่งใหญ่ที่มัสยิดมีการจัดประกวดหน้าตาการจัดขนม โดยแบ่งตามพื้นที่ของหมู่บ้านซึ่งผู้ชนะการประกวดจะได้รับรางวัลจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ
- เมาลิดินนบี เป็นวันคล้ายวันประสูติของศาสดามูฮัมหมัด (ซล.) ศาสดาแห่งมนุษยชาติ ผู้ศรัทธาในศาสนาอิสลาม มีการรำลึกถึงคุณงามความดี หรือประวัติของท่านในอดีตกาล ในบรรยากาศแห่งความรัก และรำลึกถึงท่านอย่างแท้จริง ซึ่งจะจัดในเดือน เราะบีอุลเอาวัล ซึ่งเป็นเดือนที่ 3 ในปฏิทินอิสลาม
- วันตรุษอิดิลฟิตรี หรือที่นิยมเรียกว่า “วันรายอปอซอ” เพราะหลังจากที่มุสลิมได้ถือศีลอดมาตลอดในเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนที่ 9 ของศาสนาอิสลาม ก็จะถึงวันออกบวช ตอนเช้ามีการละหมาดร่วมกัน ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สะอาด สวยงาม และมีการจ่าย “ซะกาตฟิตเราะฮ์”
- วันตรุษอิดิลอัฏฮา หรือวันรายอฮัจยี เนื่องจากมุสลิมทั่วโลกเริ่มประกอบพีธีฮัจญ์ ณ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย จะมีการทำกุรบานหรือการเชือดสัตว์เพื่อเป็นอาหารแก่เพื่อนบ้านและคนยากจน เพื่อขัดเกลาจิตใจให้เป็นผู้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ ตรงกับเดือน ซุลฮิจยะห์ ซึ่งเป็นเดือนที่ 12 ในปฏิทินของศาสนาอิสลาม
- การถือศีลอด เป็นหลักปฎิบัติที่มุสลิมจำเป็นต้องถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ตลอดระยะเวลา 1 เดือน มุสลิมที่มีอายุเข้าเกณฑ์ศาสนบัญญัติจะต้องงด การกิน ดื่ม การร่วมประเวณีตลอดจนทุกอย่าง ที่เป็นสิ่งต้องห้าม ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนกระทั่งตกดิน ทุกคนต้องสำรวมกาย วาจา ใจ เพราะเดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่มีประเสริฐยิ่งของศาสนาอิสลาม ซึ่งในเดือนนี้ชาวมุสลิมจะไปละหมาดที่มัสยิด ซึ่งเป็นการละหมาดที่ปฏิบัติภายในเดือนรอมฎอนเท่านั้น เรียกว่า “ละหมาดตะรอเวียะห์”
- การละหมาด เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ ซึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวมุสลิม ทุกคนต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยถือว่าเป็นการเข้าเฝ้าผู้ทรงสร้างที่ยิ่งใหญ่ การแต่งกายต้องสะอาด เรียบร้อย มีความสำรวม พระองค์กำหนดเวลาละหมาดไว้วันละ 5 เวลา
- การทำฮัจญ์ อัลลอฮ์ทรงบังคับให้มุสลิมที่มีความสามารถด้านกำลังกาย กำลังทรัพย์ ต้องไปทำฮัจญ์ ณ นครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีขึ้นปีละครั้งชาวมุสลิมทั่วโลกจะเดินทางมารวมกัน เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร มีฐานะทางสังคมอย่างไรต้องมาอยู่ที่เดียวกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ทุกคนมีฐานะเป็นบ่าวของอัลลอฮ์อย่างเท่าเทียมกัน ตรงกับเดือน ซุลฮิจยะห์ ซึ่งเป็นเดือนที่ 12 ในปฏิทินของศาสนาอิสลาม
- การเข้าสุนัต เป็นพิธีกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาวมุสลิม ถือกันว่ามุสลิมที่แท้จริงควรเข้าสุนัต ถ้าไม่ทำถือว่าเป็นมุสลิมที่ไม่สมบูรณ์ ไม่บริสุทธิ์ การเข้าสุนัต คือการขลิบหนังหุ้มอวัยวะเพศของผู้ชายออก เพื่อสะดวกในการรักษาความสะอาด การเข้าสุนัตจะนิยมขลิบในช่วงเดือนเมษายนเนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคการเรียนการสอนของเด็กในพื้นที่ กิจกรรมจะมีการขลิบหนังหุ้มอวัยวะเพศ และมีการเตรียมอาหารเป็นข้าวเหนียวสีต่าง ๆ บางพื้นที่จะมีการขลิบเป็นหมู่คณะ โดยมีเด็กในชุมชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
- ประเพณีการกินนาซิบารู คำว่า "นาซิบารู" หมายถึง ข้าวสารใหม่ที่ได้ผ่านกรรมวิธีจากการลงแขกเก็บเกี่ยวข้าวในช่วงฤดูทำนา เมื่อเสร็จการทำนา ข้าวเปลือกที่ได้จะนำไปโรงสีข้าวเพื่อเปลี่ยนมาเป็นข้าวสาร หลังจากนั้นชาวบ้านจะเชิญผู้รู้ทางศาสนาและคนในชุมชนมาร่วมรับประทานอาหารที่บ้านเพื่อเป็นการขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ได้ทำนาสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี
วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ
การประกอบอาชีพของประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ได้แก่ สวนยางพารา สวนผลไม้ ค้าขาย บางส่วนเลือกไปทำงานต่างประเทศ เช่น ประเทศมาเลเซีย เป็นต้น
1. นายภักดิ ซารูมอ กำนันในพื้นที่ ชาวบ้านให้การเคารพนับถือเนื่องจากท่านได้ให้ความช่วยเหลือชาวบ้านมาตลอดในเรื่องความเดือดร้อนในพื้นที่
อาหาร ด้วยพื้นที่แห่งนี้มีลักษณะติดกับแม่น้ำสายบุรี บริเวณนี้จะมีหอยขมเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะอาศัยอยู่ตามขอบชายฝั่งแม่น้ำสายบุรี ชาวบ้านในพื้นที่มักนิยมนำหอยขมมาทำเป็นอาหาร เช่น หอยขมขมิ้นแกงกะทิ
ภาษามลายู หรือภาษามาเลย์ เป็นภาษาหนึ่งในตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน ซึ่งใช้ในดินแดนประเทศ มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน และภาคใต้ของประเทศไทย
ประเทศไทยมีจังหวัดที่มีประชากรพูดภาษามลายู คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาสและบางอำเภอของจังหวัดสงขลา ประชากรที่นี่ส่วนใหญ่เขียนและบันทึกโดยใช้อักษรยาวี ปัจจุบันคนในชุมชนยังคงรักษาไว้ซึ่งภาษาท้องถิ่นของพื้นที่อย่างเหนียวแน่น โดยหลักจะใช้ภาษามลายูท้องถิ่น
การเปลี่ยนแปลงของสังคมไปสู่ความทันสมัย ปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ การสร้างบ้านเรือนที่มีความทันสมัยมากขึ้น ประกอบกับอิทธิพลทางการศึกษาสมัยใหม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากขึ้น
บ้านเกะรอเผชิญกับความท้าทายด้านทรัพยากรทางธรรมชาติ เนื่องจากเป็นที่พื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมในช่วงฤดูฝนเป็นประจำทุกปี อย่างไรก็ตามปัญหาน้ำท่วมไม่ได้รับผลกระทบความเสียหายอย่างรุนแรง เนื่องจากชาวบ้านในพื้นที่มีการปรับตัวโดยการปลูกบ้านเรือนแบบยกพื้นใต้ถุนสูงเพื่อป้องกันน้ำท่วม
ในชุมชนมีจุดน่าสนใจที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว ได้แก่ สะพานแม่น้ำเกะรอ
ซูไรดา เจะนิ. (2559). การศึกษาภูมินามของหมู่บ้านในอำเภอรามัน จังหวัดยะลา. ทุนอุดหนุนจากงบประมาณการศึกษาประจำปี 2559.มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา.
กรมการปกครอง. (2565). ระบบสถิติทางการทะเบียน จำนวนประชากร. ออนไลน์. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566. เข้าถึงได้จาก https://stat.bora.dopa.go.th/