ลำธารน้ำใส ป่าในหมู่บ้าน
บ้านตาเน๊าะปูโย๊ะมีที่มาจากคำบอกเล่าของคนในพื้นที่ว่า คำว่า "ตาเน๊าะ" หมายถึง ดิน และคำว่า "ปูโย๊ะ" หมายถึง หม้อ เมื่อรวมสองประโยคนี้หมายถึง หม้อที่ทำมาจากดิน
ลำธารน้ำใส ป่าในหมู่บ้าน
บ้านตาเน๊าะปูโย๊ะมีที่มาจากคำบอกเล่าของคนในพื้นที่ว่า คำว่า "ตาเน๊าะ" หมายถึง ดิน และคำว่า "ปูโย๊ะ" หมายถึง หม้อ เมื่อรวมสองประโยคนี้หมายถึง หม้อที่ทำมาจากดิน จากคำบอกเล่าต่อกันมา หมู่บ้านแห่งนี้มีดินที่มีลักษณะเป็นดินเหนียว ชาวบ้านในพื้นที่นำดินเหล่านี้มาปั้นเป็นหม้อหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในครัวเรือน ถือว่าเป็นกลุ่มแรกในละแวกนั้นที่บุกเบิกการปั้นหม้อจากดินเหนียว โดยในสมัยก่อนลักษณะความเป็นอยู่ของชาวบ้านมีความยากจนอยู่กันอย่างลำบากจึงนำสิ่งของจากธรรมชาติมาทำเป็นอุปกรณ์ในการดำรงชีวิต เล่ากันว่าหม้อดินที่ทำจากดินเหนียวในหมู่บ้านแห่งนี้เหมาะแก่การปั้นทำหม้อทำให้เป็นที่รู้จักกันมากในขณะนั้น จึงตั้งชื่อหมู่บ้าน "ตาเน๊าะปูโย๊ะ" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
บ้านตาเน๊าะปูโย๊ะอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอรามัน ประมาณ 17 กิโลเมตร อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 37 กิโลเมตร สามารถเดินทางได้ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคล
อาณาเขตติดต่อ
- ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านปูลามอง หมู่ที่ 2 ตำบลเกะรอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
- ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านเกะรอ หมู่ที่ 3 ตำบลเกะรอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านปาแตรายอ หมู่ที่ 2 ตำบลเกะรอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านแอแกง หมู่ที่ 5 ตำบลเกะรอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
สภาพพื้นที่กายภาพ
สภาพโดยทั่วไปของบ้านตาเน๊าะปูโย๊ะ มีลักษณะเป็นที่ราบสูงระหว่างลูกเนิน เหมาะที่จะปลูกยางพาราและไม้ยืนต้น ลักษณะภูมิอากาศแบบร้อนชื้น เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ โดยทั่วไปแล้วพื้นที่แห่งนี้มี 2 ฤดูคือ ฤดูร้อนและฤดูฝน ฤดูร้อนจะเริ่มตั้งแต่ กุมภาพันธ์ถึงเดือนสิงหาคม ส่วนฤดูฝน ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม เนื่องจากสภาพพื้นที่เป็นที่ราบสูงจึงไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม
จากข้อมูลการสำรวจของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ปี 2565 ระบุจำนวนครัวเรือน และประชากรชุมชนบ้านตาเน๊าะปูโย๊ะ จำนวน 315 หลังคาเรือน ประชากรรวมทั้งหมด 1,225 คน แบ่งเป็นประชากรชาย 609 คน หญิง 616 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายมลายู คนในชุมชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ร่วมกันแบบครอบครัวที่มีความหลากหลายช่วงวัย มีเพียงส่วนน้อยที่อาศัยเป็นครอบครัวเดี่ยว จากรากฐานความสัมพันธ์เชิงเครือญาติทำให้ผู้คนในสังคมมีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ระหว่างกัน
มลายูผู้คนในชุนชนบ้านตาเน๊าะปูโย๊ะมีการรวมกลุ่มที่เป็นทางการ
กลุ่มสตรี เป็นกลุ่มองค์กรที่จัดขึ้นมีวัตถุประสงค์ช่วยเหลือกลุ่มสตรีที่เป็นแม่บ้านให้มีรายได้เสริมจากการเลี้ยงลูกและเป็นการแบ่งเบาภาระในครอบครัวอีกด้วย โดยทางกลุ่มได้จัดอบรมสอนทำขนมแล้วนำไปขายต่อตามร้านค้าในพื้นที่
ด้านกลุ่มอาชีพ พื้นที่แห่งนี้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร ปลูกต้นยาง ทุเรียน รองลงมาประกอบอาชีพรับราชการและค้าขาย
ในรอบปีของผู้คนบ้านตาเน๊าะปูโย๊ะมีวิธีชีวิตทางวัฒนธรรมและวิธีชีวิตทางเศรษฐกิจที่มีอัตลักษณ์โดดเด่นดังต่อไปนี้
วิถีชีวิตทางวัฒนธรรม
- วันรายอแนหรือรายอหก ความหมายรายอแน คือ คำว่า "รายอ" ในภาษามลายูแปลว่า ความรื่นเริง และ คำว่า "แน" คือ หก ในทางปฏิบัติ เมื่อถึงวันตรุษอีฎี้ลฟิตรี จะเฉลิมฉลองวันอีดใหญ่และวันต่อมาชาวบ้านมักจะถือศีลอด 6 วัน ในเดือนเชาวาลต่อเนื่องไปเลย จนครบ 6 วัน เมื่อเสร็จสิ้นการถือศีลอด คนในพื้นที่จะถือโอกาสนี้เฉลิมฉลองวันรายอแน โดยจะเดินทางไปทำบุญให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับที่กุโบร์หรือสุสาน พื้นที่ตาเน๊าะปูโย๊ะจะมีสุสานขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ชาวบ้านพื้นที่ใกล้เคียงจะมาฝังศพที่สุสานตะเน๊าะปูโย๊ะกันส่วนใหญ่เมื่อถึงวันรายอหกจะมีชาวบ้านพื้นที่ใกล้เคียงมาเยี่ยมเยียนสุสานแห่งนี้กันอย่างเนื่องแน่น
- งานเมาลิดนบี เป็นวันแห่งการยกย่องวันเกิดของท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) คำว่า "เมาลิด" เป็นภาษาอาหรับแปลว่า เกิด, ที่เกิด หรือวันเกิด ซึ่งหมายถึงวันเกิดของท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) ตรงกับวันที่ 12 เดือนรอบิอุลเอาวัล หรือเดือนที่ 3 ตามปฏิทินอิสลาม กิจกรรมในงานเมาลิดได้แก่ การอัญเชิญคัมภีร์อัล-กุรอาน การกล่าวสรรเสริญ อ่านซางี เพื่อระลึกถึงท่านนบีมูฮัหมัด (ซ.ล.) นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงอาหารแก่ผู้ที่ไปร่วมงานด้วย ชุมชนตาเน๊าะปูโย๊ะจะจัดงานเมาลิดเวียนตามบ้านแต่หลังในช่วงเดือนรอบีอุลเอาวัลหรือเดือนที่ 3 ของอิสลาม เวียนจยครบเกือบทุกบ้าน
- วันตรุษอิดิลฟิตรี หรือที่นิยมเรียกว่า “วันรายอปอซอ” เพราะหลังจากที่มุสลิมได้ถือศีลอดมาตลอดในเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนที่ 9 ของศาสนาอิสลาม ก็จะถึงวันออกบวช ตอนเช้าจะมีการละหมาดร่วมกัน ทุกคนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สะอาด สวยงาม และมีการจ่าย “ซะกาตฟิตเราะฮ์”
- วันตรุษอิดิลอัฏฮา หรือวันรายอฮัจยี เนื่องจากมุสลิมทั่วโลกเริ่มประกอบพีธีฮัจญ์ ณ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย มีการทำกุรบานหรือการเชือดสัตว์เพื่อเป็นอาหารแก่เพื่อนบ้านและคนยากจน เพื่อขัดเกลาจิตใจให้เป็นผู้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ ตรงกับเดือน ซุลฮิจยะห์ ซึ่งเป็นเดือนที่ 12 ในปฏิทินของศาสนาอิสลาม
- การถือศีลอด เป็นหลักปฎิบัติที่มุสลิมจำเป็นต้องถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ตลอดระยะเวลา 1 เดือน มุสลิมที่มีอายุเข้าเกณฑ์ศาสนบัญญัติจะต้องงด การกิน ดื่ม การร่วมประเวณีตลอดจนทุกอย่าง ที่เป็นสิ่งต้องห้าม ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนกระทั่งตกดิน ทุกคนต้องสำรวมกายวาจาใจ เพราะเดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่มีประเสริฐยิ่งของศาสนาอิสลาม ซึ่งในเดือนนี้ ชาวมุสลิมจะไปละหมาดที่มัสยิด ซึ่งเป็นการละหมาดที่ปฏิบัติภายในเดือนรอมฎอนเท่านั้น เรียกว่า “ละหมาดตะรอเวียะห์”
- การละหมาด เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ ซึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวมุสลิม ทุกคนต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยถือว่าเป็นการเข้าเฝ้าผู้ทรงสร้างที่ยิ่งใหญ่ การแต่งกายต้องสะอาด เรียบร้อย มีความสำรวม พระองค์กำหนดเวลาละหมาดไว้วันละ 5 เวลา
- การทำฮัจญ์ อัลลอฮ์ทรงบังคับให้มุสลิมที่มีความสามารถด้านกำลังกาย กำลังทรัพย์ ต้องไปทำฮัจญ์ ณ นครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีขึ้นปีละครั้ง ชาวมุสลิมทั่วโลกจะเดินทางมารวมกัน เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร มีฐานะทางสังคมอย่างไร ต้องมาอยู่ที่เดียวกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ทุกคนมีฐานะเป็นบ่าวของอัลลอฮ์อย่างเท่าเทียมกัน ตรงกับเดือน ซุลฮิจยะห์ ซึ่งเป็นเดือนที่ 12 ในปฏิทินของศาสนาอิสลาม
- การเข้าสุนัต เป็นพิธีกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาวมุสลิม ถือกันว่ามุสลิมที่แท้จริงควรเข้าสุนัต ถ้าไม่ทำถือว่าเป็นมุสลิมที่ไม่สมบูรณ์ ไม่บริสุทธิ์ การเข้าสุนัต คือการขลิบหนังหุ้มอวัยวะเพศของผู้ชายออก เพื่อสะดวกในการรักษาความสะอาด การเข้าสุนัตจะนิยมขลิบในช่วงเดือนเมษายนเนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคการเรียนการสอนของเด็กในพื้นที่ กิจกรรมจะมีการขลิบหนังหุ้มอวัยวะเพศ และมีการเตรียมอาหารเป็นข้าวเหนียวสีต่าง ๆ บางพื้นที่จะมีการขลิบเป็นหมู่คณะ โดยมีเด็กในชุมชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
- ประเพณีการกวนอาซูรอ เป็นการรำลึกถึงความยากลำบากของศาสดา นบีนูฮ โดยเชื่อว่าในสมัยของท่านมีเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ น้ำท่วมโลกเป็นระยะเวลานาน ศาสดานบีนูฮ ซึ่งล่องลอยเรืออยู่เป็นเวลานาน ทำให้อาหารที่เตรียมไว้น้อยลง จึงได้นำส่วนที่พอจะมีเหลือเอามารวมกันแล้วกวนกิน จึงกลายเป็นตำนานที่มาของขนมอาซูรอ
คำว่า "อาซูรอ" คือคำในภาษาอาหรับ แปลว่า การผสม ในที่นี้หมายถึงการนำของที่รับประทานได้ทั้งของคาวและของหวานจำนวน 10 อย่าง มากวนรวมกัน ประเพณีจะจัดในวันที่ 10 ของเดือนมูฮัรรอม ซึ่งเป็นเดือนแรกของฮิจเราะห์ศักราชตามปฏิทินอิสลาม เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาปีใหม่ของมุสลิม ลักษณะกิจกรรมจะมีการรวมตัวของชาวบ้านโดยที่ชาวบ้านจะนำวัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเผือก มัน ฟักทอง กล้วย ข้าวสาร ถั่ว เครื่องปรุง ข่าตะไคร้ หอมกระเทียม เมล็ดผักชี ยี่หร่า เกลือ น้ำตาล กะทิ โดยวัตถุดิบทั้งหมดจะถูกกวนในกระทะเหล็กใช้เวลาเกือบ 6-7 ชั่วโมง โดยต้องกวนตลอด จนกระทั่งสุกแห้ง เมื่อเสร็จเรียบร้อยมีการแจกจ่ายแบ่งปันให้แก่ชาวบ้าน ภาพที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความสัมพันธ์และสามัคคีของคนในชุมชน
วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ การประกอบอาชีพ ประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ได้แก่ สวนยางพารา สวนผลไม้ เลี้ยงสัตว์ และทำขนมพื้นบ้านเพื่อจำหน่าย เป็นต้น
1. นายอาหามะ มะมิง ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาเมื่อโดนงูกัด โดยได้รับการตกทอดความรู้จากรุ่นปู่ที่ได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ถือว่าท่านเป็นที่รู้จักของชาวบ้านในพื้นที่และชาวบ้านจากนอกพื้นที่ที่มารักษาเป็นจำนวนมาก
ทุนวัฒนธรรม
ปอเนาะตาเน๊าะปูโย๊ะ ในชุมชนแห่งนี้มีสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเป็นแหล่งให้ความรู้ทางทางศาสนาแก่คนในชุมชน โดยปกติแล้วสถาบันแห่งนี้จะทำการบรรยายศาสนาแก่ชาวบ้านทุกวัน จากการบอกเล่าของชาวบ้านในสมัยก่อนสถาบันแห่งนี้เคยเป็นบ้านที่อยู่อาศัยของคนในพื้นที่ต่อมาได้อุทิศบ้านหลังนี้เพื่อเป็นสถานที่ให้ความรู้ในด้านศาสนาแก่ชาวบ้านจนถึงปัจจุบัน
ภาษามลายู หรือภาษามาเลย์เป็นภาษาหนึ่งในตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน ซึ่งใช้ในดินแดนประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน และภาคใต้ของประเทศไทย
ประเทศไทยมีจังหวัดที่มีประชากรพูดภาษามลายู คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาสและบางอำเภอของจังหวัดสงขลา ประชากรที่นี่ส่วนใหญ่เขียนและบันทึกโดยใช้อักษรยาวี ปัจจุบันคนในชุมชนยังคงรักษาไว้ซึ่งภาษาท้องถิ่นในพื้นที่อย่างเหนียวแน่น ชุมชนตะเน๊าะปูโย๊ะยังคงสื่อสารภาษามลายูท้องถิ่นเป็นวิถีชีวิตประจำวัน
การเปลี่ยนแปลงของสังคมไปสู่ความทันสมัย ปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือการสร้างบ้านเรือนที่มีความทันสมัยมากขึ้น ประกอบกับอิทธิพลทางการศึกษาสมัยใหม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเดิม
การเคลื่อนย้ายของประชากรไปทำงานต่างพื้นที่มากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย เป็นต้น บางครอบครัวเลือกไปทำงานประเทศมาเลเซียเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่อำนวยการกับใช้จ่ายรายวัน
ในชุมชนบ้านตาเน๊าะปูโย๊ะมีจุดสนใจอื่น ๆ เช่น สถาบันปอเนาะตาเน๊าะปูโย๊ะ
ซูไรดา เจะนิ. (2559). การศึกษาภูมินามของหมู่บ้านในอำเภอรามัน จังหวัดยะลา. ทุนอุดหนุนจากงบประมาณการศึกษาประจำปี 2559.มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา.
กรมการปกครอง. (2565). ระบบสถิติทางการทะเบียน จำนวนประชากร. ออนไลน์. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566. เข้าถึงได้จาก: https://stat.bora.dopa.go.th/
ผู้ใหญ่บ้านตาเน๊าะปูโย๊ะ. สัมภาษณ์. เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566.