Advance search

เรื่องราวทางประวัติศาสตร์การสู้รบในอดีต ประกอบกับรัฐมีแนวคิดที่จะทำให้ชุมชนกับรัฐอยู่ร่วมกันได้ จึงนำชุมชนเข้ามาร่วมอนุรักษ์ฟื้นฟูพื้นที่ป่าร่วมกัน โดยปลูกต้นนางพญาเสือโคร่ง และนำวัฒนธรรมที่มีในชุมชนมาสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยว

หมู่ที่ 10
ร่องกล้า
เนินเพิ่ม
นครไทย
พิษณุโลก
อบต.เนินเพิ่ม โทร. 0-5538-9284
รัดเกล้า เปรมประสิทธิ์
10 พ.ย. 2024
รัดเกล้า เปรมประสิทธิ์
บุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล
17 ธ.ค. 2024
บ้านร่องกล้า


เรื่องราวทางประวัติศาสตร์การสู้รบในอดีต ประกอบกับรัฐมีแนวคิดที่จะทำให้ชุมชนกับรัฐอยู่ร่วมกันได้ จึงนำชุมชนเข้ามาร่วมอนุรักษ์ฟื้นฟูพื้นที่ป่าร่วมกัน โดยปลูกต้นนางพญาเสือโคร่ง และนำวัฒนธรรมที่มีในชุมชนมาสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยว

ร่องกล้า
หมู่ที่ 10
เนินเพิ่ม
นครไทย
พิษณุโลก
65120
16.98126
101.02674
องค์การบริหารส่วนตำบลเนินเพิ่ม

วันที่1 ธันวาคม 2485 วันกำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย "พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย" เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นภายหลังจากการก่อตั้งของ "พรรคคอมมิวนิสต์สยาม" โดยจุดประสงค์หลักของคอมมิวนิสต์แห่งสยามและคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยคือ ต้องการให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกันและมีความเสมอภาค ในเรื่องชนชั้น โดยยึดหลักอุดมการณ์ลัทธิมาร์กซ์ ลัทธิเลนิน และลัทธิเหมาถึงแม้ชื่อพรรคจะมีคำว่า "สยาม" แต่ในช่วงแรกก่อตั้งพรรค สมาชิกทั้งหมดกลับเป็นคนเวียดนามและคนจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย (กัญญารัตน์ อรน้อม, 2566) กรอบของอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย คือ อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ซึ่งแนวคิดหลัก คือ ลัทธิมาร์กช แนวคิดนี้เป็นอุดมการณ์ปฏิวัติสังคม ที่จะสร้างสังคมใหม่ให้มนุษย์มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ความสำคัญของการมีพรรคที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นแบบลัทธิมาร์กซ อยู่ที่ว่านับตั้งแต่มีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นต้นมาแนวทางของพรรคคอมมินิสต์ก็เป็นทางเลือกใหม่แก่สังคมไทยอีกทางเลือกหนึ่ง เป็นที่ยอมรับและเข้าใจกันว่า สังคมไทยนั้นเป็นสังคมจารีตประเพณี ผู้คนโดยทั่วไปนั้นถูกครอบงำด้วยความคิดอนุรักษ์นิยมภายใต้การครอบงำของระบบเจ้าศักดินาและวัฒนธรรมไพร่ฟ้า ทำให้สังคมไทยมีแนวโน้มต่อต้านสิ่งใหม่และรับสิ่งใหม่ได้ยาก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยวางรากฐานอย่างมั่นคงที่เขตชนชาติส่วนน้อยจังหวัดน่าน-เชียงรายเขตตาก เขตสามจังหวัด (เลย-พิษณุโลก-เพชรบูรณ์) เขตภูซางที่อุดรธานี-หนองบัวลำภู เขตฐานที่มั่นภูพาน(สกลนคร-นครพนม-กาฬสินธุ์) เขตภูสระดอกบัว (มุกดาหาร) เขตอีสานใต้ที่ละหานทราย-ตาพระยาและเขตภาคใต้สุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช เขตพัทลุง-ตรัง และเริ่มบุกเบิกงานที่สงขลา (สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, 2547)

ภูหินร่องกล้าก็เป็นอีกพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งในอดีตนั้นเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้และสัตว์ป่านานาชนิด เมื่อก่อนปี พ.ศ. 2492 ชาวเขาเผ่าม้งได้อพยพมาจากภาคเหนือตอนบน มาตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ที่ภูหินร่องกล้าหลายหมู่บ้าน เช่น บ้านป่าหวาย บ้านป่ายาบ บ้านภูขี้เถ้า บ้านทับเบิก ส่วนการดำรงชีพของชาวเขาเผ่าม้งก็คือการทำไร่ปลูกข้าวปลูกผักและข้าวโพด การทำไร่ของชาวเขาคือการทำเลื่อนลอย จนทำให้ป่ากลายเป็นภูเขาหัวโล้นจากการทำเลื่อนลอย การทำไร่ของชาวเขาแล้วยังมีชาวเขาบางคนปลูกฝิ่นด้วย เนื่องจากมีนายทุนมาให้การสนับสนุนในการปลูกฝิ่นการกระทำความผิด ส่วนทางฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็เข้าจับคุมในการปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอยของชาวเขา และชาวเขา (ม้ง) ยังถูกเอารัดเอาเปรียบจากการค้าขาย เจ้าหน้าที่บ้านเมือง (บางคนบางกลุ่ม) เข้าไปเยี่ยมเยือนชาวเขาและแสดงอำนาจข่มขู่เพื่อเรียกรับผลประโยชน์ ดังนั้นที่ไหนมีการกดขี่ข่มเหง ที่นั่นต้องเกิดการต่อสู้ จากนั้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะต่อสู้กับรัฐบาลด้วยอาวุธ จึงจัดบุคลากรของเขาออกไปสู่ชนบทเพื่อปลุกระดมประชาชนตามชนบทเป็นแนวร่วม พคท. ได้หยิบยกเอาปัญหาต่าง ๆ ที่ชาวเขาถูกกดขี่ข่มเหงขึ้นมาเป็นเงื่อนไข ชาวเขาได้ฟังคำชี้แจงที่น่าเชื่อถือได้จึงหันไปรวมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ดังนั้นชาวม้งที่ภูหินร่องกล้าจึงส่งตัวแทนไปดูงานที่ภาคเหนือตอนบนปี พ.ศ. 2507 พคท. ได้จัดตั้งโรงเรียนสอนภาษาไทยขึ้นในป่าสอนหนังสือให้กับชาวเขา รัฐบาลก็รู้ข่าวจึงมีการจัดตั้งชุดคุ้มครองหมู่บ้านขึ้น ตามบ้านต่าง ๆ ในพื้นที่ภูหินร่องกล้า จากนั้นฝ่ายรัฐบาลได้จัดตั้งสายสืบขึ้นโดยใช้คนในหมู่บ้านของชาวเขาด้วยกันในการสืบการต่อสู้กันมาระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลกับฝ่าย พคท. ตั้งแต่ปี 2511 จนถึงปี 2523 เป็นต้นมา ภายหลังมีการเข้าโจมตีของทางภาครัฐ และเหตุการณ์ ประสบการณ์ของชาวบ้านร่องกล้า ทำให้ชาวบ้านบางส่วนตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคมิวนิสต์แห่งประเทศไทยแบบเต็มตัว และวิถีชีวิตดั้งเดิม ก็เปลี่ยนจากเป็นเกษตรกร กลายเป็นทหาร และกบดานเข้าไปอยู่ในป่า เพื่อไม่ให้เป็นเป้าใหญ่ในการโจมตีครั้งต่อไป ทำให้เกิดการตอบโต้กลับไปยังภาครัฐ จนกลายเป็นสหายร่วมรบกับพรรคคอมมิวนิสต์ ต่อมาฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์เกิดความเสียหายที่มากกว่าฝ่ายรัฐบาล

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จออกมาพื้นที่ที่มีการสู้รบเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2519 ณ ที่ค่ายสฤษดิ์เสนาอำเภอวังทองจังหวัดพิษณุโลกพระองค์ได้มีพระราชดำริให้กับนายทหารชั้นผู้ใหญ่เช่น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้นำพระราชดำริของพระองค์มาใช้จึงได้ออกคำสั่ง ที่ 66/2523 เป็นคำสั่งของสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์โดยใช้การเมืองนำการทหารเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เข้ามอบตัวได้โดยไม่มีความผิด ทำให้ฝ่ายรัฐบาลออกประกาศให้ชาวบ้านร่องกล้าเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่รัฐ ต่อมาราวปี 2525 รัฐได้มีการพัฒนาพื้นที่ชุมชนบ้านร่องกล้าให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ แต่อำนาจในการควบคุมดูแลหรือบริหารจัดการยังคงเป็นรัฐที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ เมื่อเข้าสู่ปี 2526-2527 รัฐได้มีการจัดตั้งชุมชนบ้านร่องกล้าขึ้น โดยมีนโยบายจัดสรรที่ดินทำกินให้กับประชาชน โดยพื้นที่บ้านร่องกล้าเป็นที่กันออกจากอุทยานฯ จำนวนประมาณ 830 ไร่ โดยภาครัฐเสนอพื้นที่ทำกินโดยแบ่งสัดส่วนอย่างชัดเจน และมอบเงินเยียวยาให้กับบุคคลที่เป็นกองกำลังทหารคอมมิวนิสต์คนละ 225,000 บาท (สองแสนสองหมื่นห้าพันบาทถ้วน) ต่อคน ซึ่งทำให้สมาชิกพรรคบางส่วนเข้ามอบตัวและได้พื้นที่ทำกิน จนทำให้วิถีชีวิตของชาวบ้านร่องกล้าเปลี่ยนไปไม่ต้องเข้าไปอยู่ในป่า ไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป (จิรายุ บำรุงพงษ์ และดลฤทธิ์ อุทยางกูร, 2567) และรัฐยังได้มีการประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ด้วย ดังนั้น มวลชนชาวเขาเผ่าม้งจึงได้ลงจากเขาเข้ามอบตัวต่อทางการและรับที่ทำกิน วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2526 ให้กองทัพภาคที่ 3 พิจารณาร่วมและประสานกับกรมป่าไม้ เพื่อพิจารณาจัดตั้งบริเวณป่าภูหินร่องกล้าเป็นอุทยานแห่งชาติ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2526 กองอุทยานแห่งชาติจึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ ไปดำเนินการสำรวจหาข้อมูล สรุปได้ว่าพื้นที่ดังกล่าว มีสภาพภูมิประเทศและทิวทัศน์สวยงาม เป็นป่าต้นน้ำลำธาร และเอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่เป็นจุดเด่นหลายแห่ง เช่น ลานหินแตก ลานหินปุ่ม ประกอบกับเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของการสู้รบระหว่างกองทัพแห่งชาติกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ เหมาะสมจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ (พิษณุโลกฮอตนิวส์, 2561)

ในระยะนี้รัฐยังคงเป็นผู้บริหารจัดการและดูแล แต่เริ่มมีแนวคิดที่เอื้อประโยชน์ให้คนในชุมชนเข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของรัฐได้ จากการให้สัมภาษณ์ของประชาชนในพื้นที่ พบว่า การก่อตั้งการท่องเที่ยวโดยชุมชนเกิดขึ้นเมื่อปี 2526 ในระยะเริ่มแรกของการดำเนินการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนถูกควบคุมดูแลจากอำนาจรัฐอย่างเบ็ดเสร็จเข้มงวดเพราะอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า สภาพพื้นที่แต่ก่อนรถยนต์ไม่สามารถวิ่งผ่านได้เนื่องจากสภาพพื้นที่แต่ก่อนเป็นดิน เป็นหินทั้งหมด ยังไม่มีการทำถนน จากนั้นชาวบ้านได้เริ่มปรับปรุงและบำรุงพื้นที่ในส่วนที่จะทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้ธรรมชาตินั้นอุดมสมบูรณ์

เมื่อมีการอนุญาตให้คนในชุมชนใช้พื้นที่เพื่อใช้เป็นประโยชน์ทางการเกษตรหรือใช้ประโยชน์อย่างอื่นตามคำสั่งคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงทำให้พื้นที่บ้านร่องกล้ามีความแตกต่างจากที่อื่น ทั้งนี้ในส่วนของการจัดการใช้พื้นที่ดังกล่าวเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ในฐานะผู้รักษาปกป้องผืนป่าจึงมีแนวคิดที่อยากจะอนุรักษ์เป็นสำคัญ ในขณะที่คนในชุมชนก็อยากจะใช้ทรัพยากรอย่างเต็มที่ในฐานะเจ้าของพื้นที่ที่อยู่มานาน จึงส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในเรื่องของการใช้พื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติระหว่างชุมชนกับรัฐ รัฐจึงมีแนวคิดที่จะทำให้ชุมชนกับรัฐอยู่ร่วมกันได้ จึงนำชุมชนเข้ามาร่วมอนุรักษ์ฟื้นฟูพื้นที่ป่าร่วมกันโดยส่งเสริมให้คนในชุมชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ร่วมกันว่าพวกเขาจะได้ประโยชน์อะไร ด้วยการปลูกต้นนางพญาเสือโคร่งร่วมกับชุมชนเป็นจุดร่วมหลัก (วิธีดังกล่าวเป็นการกันคนออกจากพื้นที่ป่า) ส่งผลให้เกิดกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านร่องกล้า เช่น กิจกรรมการร่วมกันจัดคิวรถรับ-ส่งนักท่องเที่ยวขึ้นภูลมโลเพื่อชมทุ่งดอกนางพญาเสือโคร่ง เป็นต้น

ในระยะนี้รัฐและชุมชนเริ่มมีการบริหารจัดการในลักษณะร่วมมือกัน โดยผ่านกิจกรรมการอนุรักษ์และฟื้นฟูผืนป่าด้วยการปลูก "ต้นนางพญาเสือโคร่ง" หรือ "ซากุระเมืองไทย" บนพื้นที่กว่า 1,200 ไร่ ซึ่งถือว่าเป็นทุ่งนางพญาเสือโคร่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รูปแบบการท่องเที่ยวของชุมชนบ้านร่องกล้ายังคงเป็นเพียงการท่องเที่ยวชุมชน (Community Tourism : CT) เท่านั้น เพราะการบริหารจัดการส่วนใหญ่ชุมชนยังไม่ได้เป็นผู้บริหารจัดการเป็นสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับการให้สัมภาษณ์จากกลุ่มภาครัฐ โดยนักวิชาการประจำอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า พบว่า เมื่อก่อนพื้นที่จำนวน 1,200 ไร่ เป็นพื้นที่สำหรับปลูกกะหล่ำ ก่อนที่จะมาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ในระยะแรกมีนักท่องเที่ยวเข้ามา แต่เป็นลักษณะการหลงเส้นทางเข้ามา ไม่ได้ตั้งใจจะมาเที่ยวที่ชุมชนบ้านร่องกล้า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เจ้าหน้าที่อุทยาน กลุ่มคณะกรรมการชมรมท่องเที่ยวบ้านร่องกล้า และประชาชนในพื้นที่เกิดความคิดที่จะทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในชุมชนบ้านร่องกล้า อันจะนำไปสู่ทำให้ประชุมชนในพื้นที่มีรายได้เสริมจากการเพาะปลูกเพิ่มขึ้น ประกอบกับหัวหน้าอุทยานแห่งชาติคนเดิม (ท่านหัวหน้ามโน) ได้มีแนวคิดจะฟื้นฟูป่าและอยู่ร่วมกันกับประชาชนในพื้นที่ได้อย่างสงบสุข ราวปี 2550 จึงได้เริ่มพูดคุยกับตัวแทนกลุ่มชาวม้งเดิมซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ทำการเพาะปลูกกะหล่ำอยู่แล้วให้ช่วยปลูกดอกนางพญาเสือโคร่งและดูแลไปด้วย จึงทำให้กลายเป็นภูเขาสีชมพูด้วยดอกนางพญาเสือโคร่ง

จนกระทั่ง ปี 2557-ปัจจุบัน พบว่า ชุมชนบ้านร่องกล้าเกิดรูปแบบการท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community-Based Tourism : CBT) ขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากมีการนำทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมที่มีในชุมชนบ้านร่องกล้าอันโดดเด่นนั่นก็คือ "ทุ่งดอกนางพญาเสือโคร่ง" ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หรือที่เรียกว่า "ซากุระเมืองไทย" มาใช้เป็นปัจจัยในการสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชน (ช่วงเทศกาลเที่ยวชมทุ่งดอกนางพญาเสือโคร่ง ณ ภูลมโล คือ ธันวาคม-กุมภาพันธ์ ของทุกปี การปลูกดอกกระดาษ การปลูกพืชผักไม้เมืองหนาว เช่น ลูกพลับ สตรอว์เบอร์รี แครอทแคระ ผักปลอดสารพิษ เป็นต้น รวมทั้งมีการนำเอาวัฒนธรรมวิถีชีวิตที่คนในชุมชนปฏิบัติเป็นปกติในชีวิตประจำวันมาเป็นปัจจัยสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชนเพื่อดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวให้เข้ามาท่องเที่ยวภายในชุมชน เช่น ประเพณีกินข้าวใหม่ ประเพณีปีใหม่ม้ง ประเพณีเรียกขวัญ ประเพณีปล่อยผี ประเพณีเป่าแคนม้ง ตลาดนัดเด็กดอย เป็นต้น เกิดกลุ่ม

คณะกรรมการชมรมท่องเที่ยวบ้านร่องกล้าในการขับเคลื่อนกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชน และเกิดการบริหารจัดการกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชนจากคนในชุมชนเอง โดยรัฐเริ่มให้อำนาจแก่ชุมชนในการบริหารจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนมากขึ้น เช่น ให้ชุมชนสามารถออกกฎกติกาของชุมชนเพื่อให้นักท่องเที่ยวปฏิบัติตามได้ ให้ชุมชนสามารถว่ากล่าวตักเตือนหรือปรับค่าเสียหายในกรณีที่มีนักท่องเที่ยวฝ่าฝืนกฎกติกาที่ชุมชนตั้งขึ้นได้ ก่อให้เกิดการเรียนรู้กระบวนการพัฒนาของคนในชุมชนและผู้มาเยือน (ตรียากานต์ พรมคำ, 2565)

หมู่บ้านร่องกล้า ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง มีลักษณะเป็นสังคมชายเป็นใหญ่ กล่าวคือ ผู้ชายมีอำนาจมากกว่าผู้หญิง จากวัฒนธรรมชนเผ่าที่กำหนดให้ชายเป็นผู้นำในด้านต่าง ๆ ผู้หญิงจึงถูกลดบทบาทและไม่สามารถจะมีอิสระในชีวิตของตน ไม่ได้รับความเท่าเทียมในการใช้ชีวิตของตนเอง ผู้หญิงจะไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนหนังสือ แต่งงานเมื่ออายุยังน้อย ปัจจุบันผู้หญิงได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้น เห็นได้จากการที่ผู้หญิงสามารถที่จะเรียนหนังสือและมีระดับการศึกษาที่สูงขึ้น ความสัมพันธ์ในครอบครัวของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง จะมีความเหนียวแน่น ๆ และอยู่รวมกันเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ นับถือผู้อาวุโสเป็นตระกูลแซ่ มีความเชื่อและพิธีกรรมหลังความตายในการเคารพผีบรรพบุรุษ เพื่อให้ลูกหลานได้มาทำกิจกรรมร่วมกัน โดยในแต่ละครอบครัวจะมีการนับถือผีบรรพบุรุษเพื่อให้ปกป้องคุ้มครองลูกหลาน เพื่อให้ทำมาหากินร่ำรวย และจะมีการเซ่นไหว้เป็นประจำทุกปี

นอกจากนั้นยังพบว่า อำนาจในการตัดสินใจยังคงให้ผู้ชายเป็นใหญ่ในครอบครัว ผู้หญิงจะทำหน้าที่เป็นแรงงานหลักในครอบครัวดูแลบ้าน ดูแลไร่ และดูแลกิจการธุรกิจท่องเที่ยว ในครอบครัวที่มีลูกสาว เมื่อแต่งงานแล้วต้องออกจากบ้านไปอยู่กับสามี ส่วนลูกสะใภ้ต้องแต่งงานแล้วมาอยู่บ้านสามีมาช่วยกันทำมาหากิน แต่ด้วยสภาพในปัจจุบันที่โลกเปิดกว้างขึ้นและคนในพื้นที่ได้รับการศึกษามากขึ้นโดยเฉพาะในรุ่นลูกหลาน ทำให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทในครอบครัวมากขึ้นในการทำงานและการร่วมตัดสินใจในการประกอบอาชีพ การบริหารจัดการธุรกิจ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับครอบครัวที่มีการศึกษาสูงลูกหลานได้มีโอกาสเรียนหนังสือในตัวเมืองและกลับมาทำมาหากินและแต่งงานกับคนที่มีระดับการศึกษาเหมือนกัน ทำให้มีทัศนคติในยอมรับเรื่องความเท่าเทียมกันทางเพศมากขึ้น (ศุภชาติ แก้วกัณฑา และภาคภูมิ สมบุญพูลพิพัฒน์, 2563)

ม้ง

หมู่บ้านร่องกล้ามีองค์กรชุมชนและกลุ่มอาชีพที่เด่นชัดเกี่ยวกับการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านร่องกล้ายังได้รับการสนับสนุนและได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง อาทิ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า องค์การบริหารส่วนตำบลเนิ่นเพิ่ม สถาบันอุดมศึกษา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง สาธารณสุขอำเภอนครไทย ดารานักแสดง สื่อประชาสัมพันธ์อิสระ ภาคเอกชน เป็นต้น ในการช่วยกันอนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมที่มีในชุมชนอย่างหลากหลาย พอสรุปได้ดังนี้

1) กลุ่มภาครัฐ (เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า) และกลุ่มประชาชนในพื้นที่ : ร่วมกันวางแผนบริหารจัดคิวรถรับ-ส่งนักท่องเที่ยวขึ้นภูลมโลเพื่อชมทุ่งดอกนางพญาเสือโคร่ง อันนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่เกิดกับรัฐและชุมชนร่วมกัน โดยคนในชุมชนได้ 70 เปอร์เซ็นต์ และฝ่ายอุทยานได้ 30 เปอร์เซ็นต์ จากค่าเหมาบริการต่อครั้ง 1,000 บาท

2) กลุ่มภาครัฐ (สถาบันการศึกษา) และกลุ่มประชาชนในพื้นที่ : ร่วมกันอนุรักษ์ ฟื้นฟู วัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ค้นหาอัตลักษณ์ที่โดดเด่นในชุมชน เป็นต้น อันนำมาซึ่งการเกิดรายได้จากการนำเอาวัฒนธรรมที่มีมาสนับสนุนการท่องเที่ยวโดยชุมชน

3) กลุ่มภาคเอกชน (ผู้ก่อตั้งตลาดนัดเด็กดอย) และกลุ่มประชาชนในพื้นที่ : ผู้ก่อตั้งตลาดนัดเด็กดอย ได้ทำการจัดตั้งขึ้นเนื่องจากเกิดความสงสารเด็กในชุมชน ต้องการให้เด็กมีรายได้ จึงมีแนวคิดจัดตั้งตลาดนัดเด็กดอยขึ้นเพื่อให้เด็กได้มาขายของและมีรายได้เพิ่มขึ้นในวันที่ไม่มีเรียน โดยในระยะเริ่มแรกของการจัดตั้งตลาดนัดเด็กดอยใช้วิธีประชาสัมพันธ์ตลาดนัดเด็กดอยแบบพูดคุยสื่อสารกันโดยตรงและใช้วิธีการเป็นผู้อาสานำเที่ยว ซึ่งทำด้วยจิตอาสา โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายกับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยว แต่ขอให้แวะตลาดนัดเด็กดอยก่อนกลับ หลังจากที่เปิดตลาดนัดเด็กดอยมาได้สักระยะ ครูเทียนก็ได้ทุ่มเททำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ด้วยการทำเว็บไซต์ชื่อ "ชมรมคนรักบ้านร่องกล้า" เพื่อจะได้ทำการประชาสัมพันธ์ตลาดนัดเด็กดอยให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างต่อไป (ตรียากานต์ พรมคำ, 2565)

ชาวบ้านส่วนใหญ่ในบ้านร่องกล้าประกอบอาชีพการเกษตรแบบขั้นบันไดตามเชิงเขา โดยพืชผลทางการเกษตรที่นิยมปลูกคือ กะหล่ำปลี จึงทำให้ทั้งภูเขาเต็มไปด้วยทิวทัศน์ของไร่กะหล่ำปลีที่สวยงาม นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมแปลงกะหล่ำปลีและถ่ายรูปพร้อมทั้งอุดหนุนสินค้าเกษตรของชุมชนได้ที่ตลาดนัดชุมชน

ด้านศิลปวัฒนธรรมม้งของบ้านใหม่ร่องกล้า ตำบลเนินเพิ่ม อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก รวบรวมข้อมูลจากโครงการศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยว โดยชุมชนมีส่วนร่วม บ้านใหม่ร่องกล้า ตำบลเนินเพิ่ม อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก โดย ป๋อ วชิรวงศ์กุล (2554) สามารถสรุปได้ดังนี้

  • พิธีกินข้าวใหม่ ข้าวใหม่เป็นข้าวที่มีความหอม นุ่มและอร่อยมาก บุคคลหรือครอบครัวที่มีความสามารถทำข้าวใหม่ได้ และเชิญชวนญาติพี่น้อง หรือแขกผู้มีเกียรติมาร่วมรับประทานได้ ถือว่าบุคคลนั้นเป็นคนขยันทำมาหากิน และเป็นคนมีจิตใจกว้างขวาง เพราะข้าวใหม่นั้นกว่าจะทำและได้มาต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน และใช้เวลานาน
  • พิธีลงสีดาหรือพิธีอัวเน้ง เป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อ เรื่องของการถ่ายชีวิตกัน ระหว่างคนกับสัตว์ มักจะเป็นคนที่เจ็บป่วยหรือที่มีเคราะห์ร้าย ดวงไม่ดี
  • พิธีสู่ขวัญตั้งชื่อ การสู่ขวัญตั้งชื่อจะทำการสู่ขวัญหลังเด็กเกิดได้สามวัน เช่น เด็กเกิดวันที่ 1 มกราคม 2546 จะมีพิธีสู่ขวัญตั้งชื่อในวันที่ 4 มกราคม 2546 โดยมากชื่อที่ตั้งขึ้นนั้น พ่อแม่เด็กจะเป็นผู้ตั้งให้เอง แต่ถ้าพ่อแม่เด็กไม่ทราบว่าจะตั้งชื่อว่าอย่างไรดี ถึงจะไพเราะและเป็นสิริมงคล จะให้ทางญาติที่เป็นผู้ใหญ่หรือหมอขวัญตั้งให้ ชื่อที่ตั้งจะมีพยางค์เดียว เช่น "ตั่ว" แปลว่า คนที่หนึ่งหรือ "เหย่อ" แปลว่า น้องคนสุดท้อง เป็นต้น
  • ประเพณีปีใหม่ม้ง สืบเนื่องมาจากการทำมาหากินโดยปกติเอง การทำมาหากินของพี่น้องชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง จะมุ่งทำงานตลอดปีโดยไม่มีการหยุดพักผ่อน จะมีเวลาว่างงาน ช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม เล็กน้อย เพราะเป็นปลายฤดูฝน เข้าสู่ฤดูร้อน และเป็นเวลาสิ้นสุดของปี 1 รอบพอดี คนเฒ่าคนแก่เขาจึงได้จัดให้มีการกินปีใหม่ในช่วงนี้ จะถือว่าปีเก่าสิ้นสุดลง ในแรม 15 ค่ำ เดือน 12 ทางจันทรคติ และวันขึ้น 1 ค่ำ ของเดือน 1 หรือเดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่เป็นประจำทุกปี จุดมุ่งหมายก็เพื่อเป็นการพักผ่อน เพื่อพบปะสังสรรค์กัน ในหมู่ผู้หลักผู้ใหญ่ส่วนหนุ่ม ๆ สาว ๆ จะไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือต่างหมู่บ้าน หรือเล่นโยนลูกช่วง ตีลูกช่วงสนุกสนานกันในหมู่บ้าน
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ทุนทางทรัพยากร บ้านใหม่ร่องกล้าเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ภายใต้นโยบายความมั่นคง คำสั่งที่ 66/2523 ดังนั้นบริเวณโดยรอบชุมชนอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพื้นที่ป่าไม้และความหลากหลายทางชีวภาพ และมีแหล่งท่องเที่ยวของอุทยานฯ เป็นปัจจัยสนับสนุนการท่องเที่ยวของชุมชน และด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงและสภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี บริเวณภูลมโลพื้นที่รอยต่อ 3 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก เลย และเพชรบูรณ์ เหมาะสมในการปลูกต้นนางพญาเสือโคร่งหรือที่เรียกว่า ซากุระเมืองไทย ทางชุมชนกับอุทยานฯ จึงได้ร่วมกันปลูกต้นนางพญาเสือโคร่งเพื่อการอนุรักษ์พื้นที่และเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว จนทำให้เกิดทุ่งนางพญาเสือโคร่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเป็นแหล่งดึงดูดที่สำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวอยากเข้ามาเที่ยวชมดอกนางพญาเสือโคร่งและอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า และด้วยลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร์ของแหล่งท่องเที่ยวทำให้สินค้าท่องเที่ยวที่บ้านใหม่ร่องกล้ามีคู่แข่งทางการตลาดท่องเที่ยวน้อยหากเปรียบเทียบในเชิงธุรกิจและมีต้นทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่ำ ทำให้ชุมชนสามารถนำทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาใช้สร้างรายได้ให้กับชุมชน แต่อย่างไรก็ตามการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านใหม่ร่องกล้าก็มีข้อจำกัดด้านการบริการท่องเที่ยวเนื่องจากดอกนางพญาเสือโคร่งจะบานในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ระยะเวลาประมาณ 2 เดือนกว่า และในบางปีดอกไม้ก็จะบานไม้มากขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ ทำให้ไม่สามารถควบคุมปัจจัยทางธรรมชาติได้และบางครั้งนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวชมเกิดความไม่ประทับใจที่ได้เห็นดอกนางพญาเสือโคร่งบานเล็กน้อย ซึ่งทางชุมชนก็มีความตระหนักกับสภาพปัญหาดังกล่าว จึงได้พยายามสร้างระบบสื่อสารผ่านทางเฟสบุ๊คหรือโซเชียลมีเดียให้การแจ้งสถานการณ์ของดอกนางพญาเสือโคร่งแบบเรียลไทม์มากขึ้น เพื่อให้ข้อมูลกับนักท่องเที่ยวในการตัดสินใจมาท่องเที่ยวที่ชุมชนบ้านใหม่ร่องกล้า

ทุนทางสังคม ชุมชนบ้านใหม่ร่องกล้า เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่อพยพมาจากทางเหนือของประเทศไทยและตั้งหมู่บ้านอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2475 โดยใช้ชื่อบ้านร่องกล้า จากนั้นได้รับผลกระทบทางการเมืองโดยในปี พ.ศ. 2510 พรรคคอมมิวนิสต์ได้เข้ามาชักชวน ปลุกระดมชาวบ้านให้ลุกขึ้นต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาล เป็นเวลากว่า 20 ปี จนเป็นที่กล่าวขานมาถึงปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2525 ฝ่ายรัฐบาล ได้มีนโยบายให้ผู้ที่หลงผิดไปอยู่กับคอมมิวนิสต์เข้ามามอบตัว หลังจากนั้นประชาชนที่หลงผิดไปได้เข้ามอบตัวเพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศไทย ตามนโยบาย 66/23, 25 และในปี พ.ศ. 2526-2527 ทางรัฐบาลได้จัดตั้งหมู่บ้านบ้านใหม่ร่องกล้าขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติ ภูหินร่องกล้า และจัดสรรที่ทำกินให้กับชาวบ้านในบริเวณพื้นที่ภูลมโล จากประสบการณ์ต่อสู้ร่วมกันและเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้งทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมของคนในชุมชนบ้านใหม่ร่องกล้า เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการ เป็นระบบครอบครัวและเครือญาติ จะเห็นได้ว่ากลุ่มสายตระกูลของชาติพันธุ์ม้งเป็นกลุ่มทางสังคมขนาดใหญ่ และนับถือผู้อาวุโสของตระกูลปกครองด้วยระบบตระกูลแซ่จากผู้นำไม่เป็นทางการและทำงานร่วมกันกับผู้นำทางการซึ่งเป็นคนในชุมชน ทำให้ระบบผู้นำของชุมชนแห่งนี้มีความเข้มแข็งและเป็นที่ยอมรับแก่คนในชุมชน จนสามารถพัฒนาหมู่บ้านท่องเที่ยวได้ประสบความสำเร็จ

นอกจากนั้นยังสามารถจัดระบบบริหารจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนในกิจกรรมบริการรถนำเที่ยว จนเกิดการมีส่วนร่วมและการช่วยเหลือกันในกลุ่มสมาชิก โดยภายในกลุ่มจะมีการจัดเรียงคิวอย่างเท่าเทียมกัน แต่เมื่อคนใดไม่ว่างหรือไม่พร้อมที่จะให้บริการจะมีการยกคิวให้คนถัดไปโดยไม่มีการหักค่าให้คิวและมีการช่วยกันกระจายนักท่องเที่ยวให้แก่กันภายในกลุ่ม และการยึดหลักกติกาภายในกลุ่มอย่างเคร่งครัดในการรับลูกค้าการบริการรถนำเที่ยว และการเสียสละเวลาในการช่วยกันพัฒนา ดูแล และจัดการพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมด้วยการปลูกต้นนางพญาเสือโคร่ง การช่วยกันจัดการขยะจากนักท่องเที่ยว การต้อนรับนักท่องเที่ยวในฐานะเจ้าบ้านที่ดีและเป็นมิตร อีกทั้งชุมชนสามารถสร้างเครือข่ายภายนอกของชุมชนบ้านใหม่ร่องกล้าในการให้บริการรถนำเที่ยวจากหมู่บ้านอื่น ๆ ได้แก่ หมู่บ้านห้วยน้ำไซของตำบลเนินเพิ่ม และชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนกกสะทอน อำเภอกกสะทอน จังหวัดเลย ที่มีการบริหารจัดการร่วมกัน อย่างเป็นระบบในการบริการนักท่องเที่ยวและมีการประชุมประจำปีเพื่อสรุปงานและพัฒนาระบบบริหารจัดการร่วมกัน โดยมีอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าเป็นหน่วยงานกำกับและสนับสนุน อีกทั้งชุมชนยังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาคนอก ได้แก่ สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และชุมชนใกล้เคียง ทำให้ชุมชนบ้านใหม่ร่องกล้าสามารถผลักดันชุมชนให้กลายเป็นชุมชนท่องเที่ยวและเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ชุมชนบ้านร่องกล้าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง มีการสื่อสารด้วยภาษาไทยเมื่อติดต่อกับคนไทยพื้นราบหรือนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามในชีวิตประจำวันจะสื่อสารเป็นภาษาม้งกันในครอบครัวและญาติพี่น้อง จากการสืบค้นพบว่า ภาษาม้งที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันคือภาษาที่แท้จริง จัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาม้ง-เมี่ยน หรือ ม้ง-เย้า ภาษาม้ง ทั้งนี้มีความเห็นเกี่ยวกับที่มาและลักษณะภาษาพูดของม้ง ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ได้จัดประเภทภาษาม้งว่าเป็นภาษาในตระกูลมอญ-เชมร (ออสดูตเอเชียติด) ไท ชินีติด และอื่น ๆ บางท่านถือว่าภาษาม้ง-เย้า เป็นสาขาหนึ่งของภาษาตระกูลจีน-ธิเบต (ขจัดภัย บุรุษพัฒน์, 2518 อ้างใน วิชชุพงศ์ วรศาสตร์กุล, 2564)

ชาวม้งมีตำนานที่ได้เล่าสืบทอดต่อกันมาว่าในอดีตชาวม้งมีภาษาม้งเขียนเป็นของตนเอง ซึ่งผู้ชายจะเป็นผู้เรียนและเขียนบันทึกความรู้ต่าง ๆ แต่หลังจากชาวม้งได้ทำสงครามกับจีนเป็นเวลานานและประสบความพ่ายแพ้ ชาวจีนจึงทำลายหลักฐานการเขียนบันทึกต่าง ๆ ของชาวม้งจนหมดสิ้น จึงเป็นเหตุให้ชาวม้งไม่มีภาษาเขียน และจากการสัมภาษณ์ นางจงยี่ แซ่สง (7 พฤษภาคม 2563) ได้กล่าวว่า การทำศึกสงครามกับจีนทำให้ชาวม้งต้องหนีสงครามตลอดเวลา มีอยู่วันหนึ่งขณะลำเลียงหนังสือบรรทุกม้าเดินทางมาถึงริมลำธารแห่งหนึ่งจึงปลดตะกร้าหนังสือลงจากหลังม้าแล้วพากันพักผ่อนและนอนหลับไป ลืมปล่อยม้ากินหญ้าอยู่ม้าเลยกินหนังสือของเขาเสียจนหมด จึงทำให้หนังสือสูญหายหมดสิ้น ไม่มีหนังสือให้แก่ลูก หลาน ได้เรียนนั่นเอง และอีก 1 ตำนาน ได้เล่าเรื่องที่คล้ายคลึงกันนี้ว่า ชาวเขาเผ่าม้งได้เดินทางขณะหนีศึกสงครามกับจีน โดยได้ใช้ม้าขนลำเลียงหนังสือ มีพายุฝนตกหนักทำให้หนังสือเปียกหมดเมื่อฝนหยุดจึงเอาหนังสือมากางตากแดด แล้วทุกคนก็มาพักผ่อนและหลับไป พอตื่นขึ้นมาม้าก็กินหนังสือเกือบหมด จึงพยายามเก็บในส่วนที่เหลืออยู่และเดินทางต่อไปจนถึงที่พักก็นำหนังสือที่เหลือซึ่งยังไม่แห้งดีไปเก็บไว้บนเพิงสำหรับรมควันในบ้าน พอตกกลางคืนหนูก็พากันมากินหนังสือเสียจนหมด อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้ชาวเขาเผ่าม้งได้เขียน และอ่านหนังสือภาษาม้ง โดยการใช้ตัวอักษรละติน (Hmong RPA) และใช้อักษรภาษาอังกฤษเพื่อเล่าเรื่องราวความเป็นมาต่าง ๆ ของชาวเขาเผ่าม้ง จึงอาศัยวิธีการเรียนรู้จากบาทหลวงศาสนาที่ได้เทียบตัวอักษรภาษาอังกฤษให้บันทึกข้อมูลต่าง ๆ และเล่าเรื่องราวสืบต่อกันมาเพียงเท่านั้น

ในปัจจุบันนี้ชาวเผ่าม้งศึกษาภาษาม้งเพื่อรักษาวัฒนธรรมทางภาษาและเป็นการเรียนรู้พิธีกรรมต่าง ๆ จากการจดบันทึก คนที่รู้ภาษาม้งก็สามารถอ่านและเขียนภาษาม้งได้และเข้าใจในพิธีกรรมมากกว่าคนที่ไม่รู้ภาษาม้งนั่นเอง ดังนั้นการที่ชาวเขาเผ่าม้งมีภาษาพูดที่ใช้ในการสื่อสารทุกวันนี้ เขาไม่มีตัวอักษรที่ใช้ในการเขียนเพื่อการสื่อสารเป็นของตนเอง แต่ได้ใช้อักษรอื่น ๆ เข้ามาเขียนแทน ซึ่งจากการสัมภาษณ์ นางดี๊ แซ่สง (7 พฤษภาคม 2563) ได้กล่าวว่า ชาวเขาเผ่าม้งเริ่มมีการเรียนการสอนภาษาม้งโดยการเขียนของตนเอง อันเนื่องมาจากการได้รับอิทธิพลจากกลุ่มมิชชันนารีชาวอเมริกันและฝรั่งเศส (George Barney และ Yves Bertrais) ได้เข้ามาสอนศาสนาคริสต์ให้กับชาวเขาเผ่าม้งในประเทศลาว จึงทำให้หมอสอนศาสนาคริสต์ต้องการที่จะเผยแผ่คำสอนจึงได้เข้าไปเผยแผ่ที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ รวมถึงชาวเขาเผ่าม้งด้วย แต่ด้วยภาษาในการสื่อสารเป็นอุปสรรคต่อการเผยแผ่คำสอนจึงได้คิดค้นโดยการเอาตัวอักษรภาษาอังกฤษมาเป็นสัญลักษณ์ในการแทนคำพูดและการเขียนของชาวเขาเผ่าม้งเพื่อจะได้เผยแผ่คำสอนได้ง่าย ๆ และใช้สื่อสารกันทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งสอดคล้องกับ Symonds Patricia Veronica (1991) ได้กล่าวว่า ชาวเขาเผ่าม้งไม่มีตัวอักษรใช้จนกระทั่งมีบาทหลวงชาวฝรั่งเศสท่านหนึ่งได้เทียบเสียงภาษาม้งในระบบการออกเสียงแบบโรมันในระหว่างเดือนมิถุนายนปี 1951 จนถึงเดือนเมษายนปี 1952 ตั้งแต่นั้นมาชาวม้งก็ใช้การเทียบแบบนี้ในการสื่อสาร เนื่องจากสมัยก่อนชาวเขาเผาม้งหนีจากประเทศจีนมาตั้งหลักอาศัยอยู่ในประเทศลาวส่วนหนึ่ง ซึ่งในสมัยนั้นประเทศลาวตกอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศอังกฤษ คนในประเทศลาวจึงได้รับอิทธิพลทางภาษาจากประเทศอังกฤษ ดังนั้นชาวเขาเผ่าม้งที่อยู่ในประเทศลาวก็ได้รับอิทธิพลทางภาษาด้วย โดยที่ชาวเขาเผ่าม้งได้นำเอาตัวอักษรอังกฤษมาใช้เป็นภาษาเขียนเพื่อสื่อสารในชีวิตประจำวันด้วย ซึ่งกลุ่มมิชชันนารีชาวอเมริกันและฝรั่งเศสที่สอนศาสนาจึงได้เอาตัวหนังสืออังกฤษมาแทนสัญลักษณ์ของภาษาเขียนในภาษาม้ง โดยใช้เป็นตัวเขียนเพื่อสื่อสารในชาวเขาเผ่าม้งเพื่อเผยแผ่คำสอน และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทุกวันนี้ชาวเขาเผ่าม้งได้ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนเพื่อการสื่อสารถึงทุกวันนี้ (วิชชุพงศ์ วรศาสตร์กุล, 2564)


การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีรูปแบบการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โดยหมู่บ้านตั้งอยู่ในเขตการปกครองอำเภอนครไทย และองค์การบริหารส่วนตำบลเนินเพิ่ม


ชุมชนบ้านใหม่ร่องกล้า ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยมีพืชทางการเกษตรหลายชนิด เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดขาว แครอท ลูกพลับ เผือกหอม ข้าวโพด เป็นต้น แต่เมื่อถึงฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ของทุกปีนั้น บ้านใหม่ร่องกล้าจะเข้าสู่ระบบการบริหารจัดการการประกอบอาชีพเสริมนั่นคือ การหันมาประกอบอาชีพด้านการท่องเที่ยว เช่น รถบริการพานักท่องเที่ยวขึ้นภูลมโล โดยมีค่าใช้จ่ายต่อคัน ๆ ละ 1,000 บาท รวมไปถึงการเปิดบ้านพักโฮมสเตย์ โดยมีอัตราค่าบริการ อยู่ระหว่าง 500-2,000 บาท และมีการจำหน่ายพืชพรรณผักผลไม้ ที่จะปลูกเป็นอาชีพเสริมในช่วงเทศกาล เช่น สตรอเบอร์รี มัลเบอรี่ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีเสื้อผ้า ของที่ระลึก ตลอดจนร้านขายของชำ ร้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อหมดฤดูกาลท่องเที่ยวก็กลับมาทำเกษตรกรรมเหมือนเดิม สภาพทางสังคมบ้านใหม่ร่องกล้าเป็นชุมชนบนดอยสูง ตั้งอยู่ใจกลางอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า พืชพรรณไม้โดยรอบเป็นป่าดงดิบ อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี มีวิวทิวทัศน์สวยงาม ชาวบ้านบ้านใหม่ร่องกล้ามีทั้งกลุ่มที่นับถือผีบรรพบุรุษ กลุ่มนับถือศาสนาพุทธ และกลุ่มนับถือศาสนาคริสต์ อาศัยอยู่ร่วมกันในชุมชน (รัดเกล้า เปรมประสิทธิ์, 2562)


ข้อมูลปี 2567 หมู่บ้านร่องกล้ามีประชากรโดยรวมจำนวน 840 คน แบ่งได้ดังนี้ (ศูนย์อนามัยกลุ่มชาติพันธ์ ชายขอบ และแรงงานข้ามชาติ, 2567)

  • ครัวเรือน 192 ครัวเรือน
  • ชาย จำนวน 263 คน
  • หญิง จำนวน 268 คน
  • เด็กชาย จำนวน 170 คน
  • เด็กหญิง จำนวน 139 คน

สถานะเป็นคนไทยมีบัตรประชาชน ได้รับสิทธิและสวัสดิการจากรัฐเหมือนคนไทยพื้นราบ


ถนนถึงหมู่บ้าน มีไฟฟ้า และน้ำประปา


โรงเรียนบ้านห้วยน้ำไซ (สาขาร่องกล้าวิทยา) พัฒนาการสถานศึกษาของชุมชน

  • โรงเรียนบ้านห้วยน้ำไซ (สาขาร่องกล้าวิทยา) เดิมชื่อโรงเรียนบ้านห้วยตีนตั่ง (สาขาร่องกล้าวิทยา) และโอนมาให้โรงเรียนบ้านห้วยน้ำไซ ดูแลในปีการศึกษา 2542 ราษฎรเป็นชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ในอดีตเคยเป็นมวลชนและทหารหลักของกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในเขตปฏิบัติการที่ 10 ภูหินร่องกล้า แล้วกลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี ที่ 66/2523 และ คำสั่งที่ 65/2525 โดยใช้การเมืองนำการทหาร พื้นที่ของโรงเรียนตั้งอยู่ในใจกลางเขตอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ซึ่งเป็นพื้นที่กันออกบ้านร่องกล้า โดยได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในขณะนั้น
  • ปฏิบัติการสอนจริง เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2528 ชาวบ้านได้สร้างอาคารเรียนชั่วคราว จำนวน 1 หลัง และมอบหมายให้นายปัญญา พรขำ ครูจากโรงเรียนศิริราษฏร์พัฒนา มาปฏิบัติการสอน นายอำเภอนครไทยสมัยนั้น ได้มอบกระดาน สี แปรงทาสี แปรงลบกระดานเพื่อใช้ในการเรียนการสอน
  • วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 นางสาวรัตนา ปานเกิด ได้มาดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถานศึกษา นายปัญญา พรขำ กลับโรงเรียนเดิม
  • วันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2533 นางรัตนา ปานทอง (ปานเกิด) ไปช่วยราชการที่โรงเรียนชุมชน 8 ราษฎร์อุทิศพิทยา นายทวีป แก้วป้องปก ขึ้นมาสอนแทน จนถึงวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2534 จึงไปดำรงตำแหน่งที่โรงเรียนชุมชน 8 ราษฎร์อุทิศพิทยา นางรัตนา ปานทอง กลับมาดำรงตำแหน่งเดิม โดยมีนายดอกบัว วรรณบุตร เป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนบ้านห้วยตีนตั่ง วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 นางรำพัน พ่วงปิ่น มาปฏิบัติราชการ
  • ปี พ.ศ. 2535 นางรัตนา ปานทอง ย้ายไปดำรงตำแหน่งที่สำนักงานประถมศึกษาอำเภอ พรหมพิราม นายประทีป พราหมณ์สุวรรณ มาปฏิบัติหน้าที่แทน
  • ปี พ.ศ. 2537 นายประทีป พราหมณ์สุวรรณ และนางรำพัน พ่วงปิ่น กลับไปปฏิบัติหน้าที่ที่ โรงเรียนบ้านห้วยตีนตั่ง นายประสิทธิ์สุทธายศ ขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่แทน ต่อมา จ.ส.อ.ณรงค์ธน สำราญสุข มาปฏิบัติราชการ จนถึง พ.ศ. 2541 จึงย้ายไปดำรงตำแหน่งที่สำนักงานประถมศึกษาอำเภอวังทอง ขณะนั้นมีนายจำนัน เมืองพระฝาง เป็นครูใหญ่
  • วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2541 นางบุญยาตรา ทองอัฐ อาจารย์ 1 ระดับ 4 โรงเรียนบ้านบุ่งปลาฝา สำนักงานประถมศึกษาอำเภอนครไทย ขอมาช่วยราชการ
  • วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 ได้โอนโรงเรียนสาขา มาให้โรงเรียนบ้านห้วยน้ำไซ ดูแลโดยมอบหมายให้ นายสุพจน์ ฟักอ่อน ตำแหน่ง อาจารย์ 2 ระดับ 6 โรงเรียนบ้านห้วยน้ำไซ เป็นหัวหน้า (สาขาร่องกล้าวิทยา) นายประสิทธิ์ สุทธายศ ขอกลับโรงเรียนบ้านห้วยตีนตั่ง
  • ปีการศึกษา 2545 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 4 ได้ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขึ้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 โดยมีการสอนแบ่งเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คือ ภาษาไทย คณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปศึกษา การงานอาชีพและเทคโนโลยีภาษาต่างประเทศ สำหรับชั้น ป.2 และ 3 ยังใช้หลักสูตรเดิมคือหลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง) พ.ศ. 2533
  • ปีการศึกษา 2548 ได้รับรางวัลเหรียญทองด้านโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพดีเด่น จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก
  • ปี พ.ศ. 2552 โรงเรียนบ้านห้วยน้ำไซ (สาขาร่องกล้าวิทยา) ขยายชั้นเรียนถึง ป.6
  • วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2561 นายสมปอง เกษประสิทธิ์ มอบหมายให้ นายพงศ์วิชญ์ พิพัฒน์เอกโชติ ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าโรงเรียนบ้านห้วยน้ำไซ (สาขาร่องกล้าวิทยา) แทนนายพจน์ ฟักอ่อน ที่ขอไปปฏิบัติหน้าที่ ณ โรงเรียนบ้านห้วยน้ำไซ
  • วันที่ 30 กันยายน 2561 นายสมปอง เกษประสิทธิ์ ได้เกษียณอายุราชการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยน้ำไซ และมีนายอภัย สุทธิ ย้ายเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้อำนวยการ โรงเรียนบ้านห้วยน้ำไซ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2561
  • วันที่ 5 ตุลาคม 2565 นายอภัย สุทธิ ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านน้ำพริก อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ทำให้ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาว่างลง
  • วันที่ 1 ธันวาคม 2565 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 ได้มีคำสั่งที่ 605/2565 ลงวันที่ 30 พ.ย. 2565 แต่งตั้งให้ นายสังวาล ยะทา ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยตีนตั่ง รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยน้ำไซ (สาขาร่องกล้าวิทยา) ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565
  • ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านห้วยน้ำไซ (สาขาร่องกล้าวิทยา) จัดการศึกษาระดับ ปฐมวัย ชั้นอนุบาล 1-2 โดยใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 และการศึกษาระดับขั้นพื้นฐาน ชั้นปะถมศึกษาปีที่ 1-6 โดยใช้หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านห้วยน้ำไซ (สาขาร่องกล้าวิทยา) พุทธศักราช 2565 ตรงตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) มีจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 117 คน ครูและบุคลากรทางการศึกษา 12 คน โดยมี นายสังวาล ยะทา รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา และ นายพงศ์วิชญ์ พิพัฒน์เอกโชติ ตำแหน่ง ครูชำนาญการพิเศษ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยน้ำไซ (สาขาร่องกล้าวิทยา) (โรงเรียนบ้านห้วยน้ำไซ สาขาร่องกล้าวิทยา, ม.ป.ป.)

ชุมชนบ้านใหม่ร่องกล้า มีเอกลักษณ์และวัฒนธรรมที่สืบทอดมาจากชาติพันธุ์ม้ง มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมเป็นหลัก ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์ สวยงาม และมีอากาศหนาวเย็นตลอดปี และชุมชนได้ร่วมกับอุทยานแห่งชาติในการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าโดยการช่วยกันปลูกและดูแลรักษาต้นนางพญาเสือโคร่งหรือที่เรียกว่าซากุระเมืองไทย กลายเป็นพื้นที่ทุ่งนางพญาเสือโคร่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จนเกิดเป็นเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ที่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นชมความสวยงามของดอกนางพญาเสือโคร่งบนภูลมโล จึงทำให้เกิดการท่องเที่ยวโดยชุมชนขึ้น ประกอบกับเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่สำคัญของประเทศไทยในช่วงสงครามคอมมิวนิสต์ซึ่งได้แผ่ขยายอิทธิพลสู่ป่าซึ่งเกิดขึ้นในบริเวณชุมชนร่องกล้าจนนำไปสู่สมรภูมิรบภูหินร่องกล้าและการต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2511-2523 หลังจากนั้นรัฐบาลได้ประกาศจัดตั้งอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า และหมู่บ้านใหม่ร่องกล้า ด้วยความสวยงามทางธรรมชาติและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ทำให้พื้นที่อุทยานแห่งชาติมีจำนวนนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก ประกอบกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนในหมู่บ้านใหม่ร่องกล้าจึงทำให้เกิดรูปแบบและกิจกรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย โดยรูปแบบการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านใหม่ร่องกล้าที่โดดเด่นจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และการท่องเที่ยววิถีชีวิตชุมชน


ภูหินร่องกล้า
กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

กัญญารัตน์ อรน้อม. (2566). วันกำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 20 มีนาคม 2567. https://www.silpa-mag.com/

จิรายุ บำรุงพงษ์ และดลฤทธิ์ อุทยางกูร (2567). การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวม้งหลังออกจากพรรคคอมมิวนิสต์กรณีศึกษา บ้านร่องกล้า อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก. วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาตรี สาขาพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยนเรศวร, คณะสังคมศาสตร์, ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา

ตรียากานต์ พรมคำ. (2565). การจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนภายใต้แนวคิดการจัดการแบบร่วมมือกัน กรณีศึกษา อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าและชุมชนบ้านร่องกล้า อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก. วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก สาขาพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยนเรศวร, คณะสังคมศาสตร์, ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา

ตรียากานต์ พรมคำ รัดเกล้า เปรมประสิทธิ์ ฐานิดา บุญวรรโณ และนพรัตน์ รัตนประทุม. (2565). การจัดการทรัพยากรการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบร่วมมือกันในเขตอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า: กรณีศึกษา ชุมชนบ้านร่องกล้า อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก. วารสารศรีปทุมปริทัศน์ ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 22(2), 20 – 33

พิษณุโลกฮอตนิวส์. (2561). ย้อนรอยภูหินร่องกล้าตอน 1 พรรคคอมมิวนิสต์แทรกซึม โดยเสือ ภูลมโล. สืบค้นเมื่อ 27 มีนาคม 2567. https://www.phitsanulokhotnews.com/

รัดเกล้า เปรมประสิทธิ์. (2562). รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์พฤติกรรมนักท่องเที่ยวและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของการท่องเที่ยวเพื่อชุมชน พื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง. พิษณุโลก : มหาวิทยาลัยนเรศวร

โรงเรียนบ้านห้วยน้ำไซ (สาขาร่องกล้าวิทยา). (ม.ป.ป.). ประวัติโรงเรียน. https://rongkla.thai.ac/

วิชชุพงศ์ วรศาสตร์กุล. (2564). การศึกษาภาษาม้งบ้านตูบค้อ ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย. วารสารวิจัยราชภัฎ กรุงเก่า. 8(3), 151-161. สืบค้นเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2567. https://so01.tci-thaijo.org/

ศุภชาติ แก้วกัณฑา และภาคภูมิ สมบุญพูลพิพัฒน์. (2563). ทุนทางสังคมกับการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์. วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาตรี หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนาสังคม) มหาวิทยาลัยนเรศวร, คณะสังคมศาตร์, ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา

ศูนย์อนามัยกลุ่มชาติพันธ์ ชายขอบ และแรงงานข้ามชาติ. (2567). ประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ รายหมู่บ้านหรือกลุ่มบ้าน ในพื้นที่ตำบลเนินเพิ่ม. https://hhdclampang.anamai.moph.go.th

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. (2546). ว่าด้วยบทเรียนทางประวัติศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2567. https://so04.tci-thaijo.org/

อบต.เนินเพิ่ม โทร. 0-5538-9284